วันพฤหัสบดี ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567 19:06 น.

กิจกรรม

พระสุธีวราภรณ์ ชี้แนวทาง "เพื่อความหลุดพ้น"

วันศุกร์ ที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 13.19 น.

พระสุธีวราภรณ์ ชี้แนวทาง "เพื่อความหลุดพ้น" 

 

 

มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน แต่บุญกรรมแต่งให้มีชีวิตที่ต่างกัน มีหน้าที่ต่างกัน มนุษย์ที่ทำหน้าที่ของตนเสมือนหนึ่งการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมขั้นพื้นฐานที่ต่อยอดไปสู่ธรรมขั้นสูงให้พ้นทุกข์ ธรรมพื้นฐานที่มนุษย์ควรปฏิบัติเป็นอย่างไร พระสุธีวราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุวรวิหาร จังหวัดชัยนาท ได้เมตตามาชี้แนะ ในหัวข้อ "เพื่อความหลุดพ้นในเวที "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เมื่อเร็วๆ นี้ 

 

พระสุธีวราภรณ์เริ่มเล่าว่า ธรรมะมีอยู่ 2 อย่างคือ โลกียธรรม และโลกุตตรธรรม โลกียธรรมเป็นหน้าที่ของชาวบ้าน เวลาเราอยู่บ้านก็ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว มีลูกก็เลี้ยงลูก ทำหน้าที่สามี ภรรยาที่ดี เป็นธรรมะที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ซึ่งข้ามไม่ได้ พื้นฐานต้องดี ต้องทำจิตใจให้มั่นคง คนสมัยใหม่มองธรรมะเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของคนแก่ นั่นเพราะไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะที่ถูกต้องคือหน้าที่ ต้องปลูกฝัง ท่านยกตัวอย่าง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่มีบุตรที่ไม่สนใจการเรียน พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ทรัพย์เป็นอริยะทรัพย์ จึงจ้างบุตรเรียนธรรมะจนซึมซับไป และเราต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกให้หลาน ฝึกเรื่องการสวดมนต์ ให้เทวดารักษา เป็นบุญติดตามลูกหลานไปยังภพหน้าชาติหน้า ธรรมะนั้นเริ่มที่บ้าน เราอย่าไปคาดหวังว่าธรรมะเป็นของไกลตัว ส่วนธรรมะเบื้องสูงนั้นคือ โลกุตตรธรรม 

 

 

ท่านกล่าวถึงการทำสมาธิ สมาธิมีหลายแบบ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิมีทุกชาติทุกศาสนา แต่สมาธิในพระพุทธศาสนาไม่เหมือนสมาธินอกพุทธศาสนา เป็นปัจเจกมีเอกลักษณ์ ในทางพุทธศาสนาสมาธิประกอบด้วยปัญญามีปัญญาควบคุมไปด้วย นึกถึงองค์ภาวนา พุทธ กำหนดจิตดูลมหายใจ ไม่ใช่บังคับลม นี่คือมีสติ มีปัญญาประกอบควบคุมไปด้วย จึงเพลิดเพลินกับสมาธิ สมาธิที่เป็นอุปจารจะเป็นสมาธิที่ยาวนานกว่าขณิกสมาธิ พอได้สมาธิเป็นอุปจารแล้วก็มาพิจารณากองสังขารนี้แล้วก็จะแจ้งในกองสังขารคือเกิดปัญญาจะเกิดความเบื่อหน่ายในกองสังขารแต่ต้องมีใจมั่นคง สมาธิเพื่อการประคับประคองให้ชีวิตเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้อง 

 

"ทำไมต้องพิจารณาสังขาร" หลวงพ่อท่านว่า เพราะจะได้ไม่หลง หลักธรรมะให้พิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้น ที่เป็นอยู่ ให้เป็นกลางๆ โลกของเราเป็นสภาวะที่ว่างเปล่า เป็นสภาวะที่สมมุติขึ้น เช่น นี่เป็นดอกไม้ เป็นกุหลาบ เป็นแจกัน เป็นต้น ทุกวันนี้เราติดสมมติ และทะเลาะกันเพราะสมมติทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ ไม่ได้มีชื่อ มีแต่สมมติ สมตติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะ ปรมัตถ์คือไม่มีอะไรเลย เป็นสภาวะที่ว่างเปล่า สัพเพ ธรรมา อนัตตา สภาวะธรรมทั้งหลายเป็นสภาวะธรรมที่ว่างเปล่าธรรมะทั้งหลายนั้นไม่มีชื่อ แต่ว่ามาสมมติกันจะได้รู้ว่า อันนี้ดอกกุหลาบ อันนี้แจกัน นี่กระโถน แต่สุดท้ายแล้วคือไม่มี เหมือนสังขารที่ไม่มีอะไรเผาไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรไม่มี พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ร้อนก็รู้ว่าร้อน เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเราไม่ยอมรู้สภาวะธรรม จึงอดรนทนไม่ได้ทุกข์ร้อนกระวนกระวาย เพราะไม่รับความจริงที่เป็นอยู่จึงมีความทุกข์ 

 

หลวงพ่อกล่าวว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของคนมีปัญญา ต้องใช้ปัญญา เรื่องความทุกข์พระพุทธเจ้าให้พิจารณาความทุกข์ ผู้ใดพิจารณาความทุกข์ผู้นั้นจะชนะความทุกข์ แต่ถ้าผู้ใดหนีทุกข์ ผู้นั้นจะแพ้ทุกข์ ความจริงทุกข์นั้นมีประโยชน์ พระพุทธเจ้าค้นคว้าเอาชนะทุกข์ ไม่ยอมแพ้ไม่หนีความทุกข์ จึงรู้แจ้งสัจจธรรม สิ่งประดิษฐ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคนไม่ยอมแพ้ความทุกข์ ประโยชน์ของความทุกข์ถ้าพิจารณาให้ดี คนใดที่เอาชนะความทุกข์ได้คนนั้นจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าคนไหนแพ้ความทุกข์หนีความทุกข์ไม่ยอมรับความจริงก็จะแพ้ตลอดไป เหมือนกับคนฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าสอนให้สู้ เป็นอยู่ด้วยปัญญา ให้ยอมรับปัญหา สู้ปัญหา 

 

ท่านทั้งหลายจงใช้ปัญญาเป็นอยู่ โดยใช้ปัญญาในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันถ้าไม่สู้ก็จะลำบาก โลกเรามีปัญหาทั้งนั้นไม่ใช่เพิ่งเกิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง" เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวเมื่อยจิปาถะ แต่ว่าเราจงภูมิใจว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก มนุษย์นั้นเป็นแดนสร้างบารมี เช่นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จด้วยทานบารมี พระพุทธเจ้าก็ตรัสอีกว่า "มนุษย์ก็เกิดยากแล้ว เป็นอยู่ก็ยาก" ถ้าไม่มีปัญญาเอาตัวไม่รอด ถ้าไม่มีธรรมะประคับประคองตัวก็ไปไม่ได้ เผลอไผลถูกชักนำไป ต้องฝึกจิตให้เข้มแข็งต้องฝึกจิตอย่าตามใจ ในมวลหมู่มนุษย์ผู้ใดที่ฝึกจิตตนแล้วประเสริฐที่สุด การเดิน การกิน ต้องฝึกทั้งนั้นไม่มีใครที่เกิดมาแล้วเป็นเองเลย 

 

ก่อนจบการบรรยาย หลวงพ่อแนะนำถึงสมาธิในการบำบัดทำอย่างไร ให้สำรวจพิจารณาดูว่าเจ็บตรงไหนปวดตรงไหนพิจารณาว่าเจ็บหนอเจ็บหนอ แล้วอธิษฐาน เพราะบุญสำเร็จได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ว่าอธิษฐานนั้นทำไมบางคนได้บางคนไม่ได้ เป็นเพราะสัจจะ บางคนอธิษฐานเยอะไปหมด ท่านยังกล่าวอีกว่า พระพุทธเจ้าสอนใครอยากมีอายุยืนให้แผ่เมตตา นอกจากแผ่เมตตาให้คนอื่นแล้วก็ต้องแผ่เมตตาให้ตัวเองด้วย นี่ก็เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทำอย่างเดียวกันอาจจะได้ไม่เหมือนกันเพราะกรรมเท่านั้นที่จะจำแนกสรรพสัตว์ กรรมต่างกัน ผลที่ได้จึงแตกต่างกันไป 

 

พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดี ๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok