วันศุกร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567 12:27 น.

เศรษฐกิจ

'สนธิรัตน์'ดึงเครือข่าย 'ธ.ก.ส.-กองทุนหมู่บ้าน' ร่วมส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน

วันเสาร์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562, 16.05 น.

'สนธิรัตน์'ดึงเครือข่าย 'ธ.ก.ส.-กองทุนหมู่บ้าน' ร่วมส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน พร้อมยกระดับปั๊มน้ำมันปตท.-บางจาก เป็นศูนย์ส่งเสริม 'ปุ๋ยสั่งตัด' ช่วยลดต้นทุนเกษตรกร ด้านสภาเกษตรฯขานรับ มั่นใจนโยบายพลังงานมาถูกทางแล้ว

วันที่ 21 ก.ย.2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาเรื่อง “การเพิ่มขีดความสามารถชุมชนด้วยพลังงานชุมชน” ในงาน “ประชารัฐสร้างไทย” จัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธ.ก.ส.) ช่วงหนึ่งว่า นโยบายพลังงานเพื่อให้ทุกคนมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ประชาชนซึ่งเคยเป็นผู้ซื้อพลังงาน ทั้งไฟฟ้า น้ำมัน แก๊สหุงต้ม พลิกสู่มิติใหม่โดยชุมชนเป็นเจ้าของและผลิตพลังงานได้เอง สร้างโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็กใช้วัตถุดิบทางการเกษตรจากพลังงานชีวภาพ ชีวมวล แหล่งน้ำขนาดเล็กและแสงแดด มาผลิตใช้เองได้ เปลี่ยนทิศทางจากเดิมที่ผูกขาดอยู่แต่องค์กรขนาดใหญ่ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายจะต้องอาศัยเครือข่ายต่างๆ อาทิ ธ.ก.ส. และกองทุนหมู่บ้าน ช่วยส่งเสริมพลังงานภาคเกษตรในพื้นที่ หลังจากนั้นกระทรวงอุตสาหกรรม จะเข้ามาสนับสนุนการแปรรูปผลผลิตเพื่อให้เกิดความช่วยเหลือแบบครบวงจร

ส่วนภาคขนส่ง นโยบายพลังงานจะช่วยแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันของประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาตกค้างมากว่า 30-40 ปี ซึ่งกำลังปรับโครงสร้างน้ำมันไบโอดีเซลมาตรฐาน เปลี่ยน B7 เป็น B10 เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 นี้ ซึ่งจะช่วยดูดซับน้ำมันปาล์ม (ซีพีโอ) 4 แสนตันให้หมดไป เมื่อโมเดลนี้สำเร็จและจะนำไปสู่การแก้ปัญหา มันสำปะหลังและอ้อย ในอนาคตได้
       
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ตนพร้อมที่จะใช้เครือข่ายด้านพลังงานทั้งหมดมาช่วยเศรษฐกิจฐานราก เช่น ปั๊มน้ำมันปตท.ที่ในอนาคตจะทำให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงสินค้าชุมชน ซึ่งขณะนี้มีโครงการ ‘ไทยเด็ด’ ซึ่งเป็นตลาดที่นำสินค้าเด่นของชาวบ้านมาจำหน่ายในพื้นที่สถานีบริการฯ เหมือนญี่ปุ่นที่มีโรดไซด์สเตชั่น ขายปลา โมจิ ของฝากท้องถิ่น 

“ผมได้ให้นโยบายไปแล้วว่า ต่อไปนี้สถานีบริการน้ำมันทั้ง ปตท.และบางจาก จะเป็นศูนย์ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและชุมชนมากขึ้น ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตประชาชน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความท้าทายขององค์กรระดับโลก”

ด้านนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า การพัฒนาพลังงานชุมชน ถือเป็นสิ่งที่เกษตรกรไทยต้องการมาตลอด แต่รัฐบาลในอดีตไม่เคยสนใจ ดังนั้นเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวทางพัฒนาเรื่องนี้ตนก็รู้สึกดีใจมาก ถือเป็นการเดินหน้าในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และตนเชื่อว่าจะทำให้เกษตรกรมีความหวังมากขึ้น
       
“ทุกชุมชนขณะนี้มีศักยภาพด้านพลังงานสูงมาก ไม่ว่าพลังงานน้ำขนาดเล็ก พลังงานแสงอาทิตย์ หลายชุมชนมีศักยภาพจากชีวมวล มีเศษวัสดุการเกษตรเหลือใช้ เช่น ซังข้าวโพด เผาทิ้งปีละนับแสนตัน ถ้าส่งเสริมเทคโนโลยีก็เปลี่ยนเป็นเงินให้ชุมชนได้ทันที และบางพื้นที่ก็เหมาะสมทำโซล่าร์ฟาร์มด้วย ตึงเชื่อว่าพลังงานจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแน่นอน”
        
ส่วนนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีกองทุนหมู่บ้าน 79,595 แห่ง และนำเงินไปพัฒนาโครงการต่างๆ ถึง 208,968 โครงการอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น หากนโยบายส่งเสริมให้หมู่บ้าน สามารถเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าชุมชนด้วยตัวเองมากขึ้น ก็จะช่วยลดต้นทุนให้ประชาชน ลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เพราะมีผลศึกษาแล้วว่า โรงไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ ที่ภาคประชาชนลงทุนร่วมกับเอกชน จะคืนทุนได้ภายใน 7 ปี หลังจากนั้นชุมชนก็เหมือนมีตู้เอทีเอ็มประจำหมู่บ้าน มีรายได้หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจฐานรากแน่นอน