“ศักดิ์สยาม”สั่งขร.ทำแผนระบบรางทั่วปท.-เชื่อมเพื่อนบ้าน

       

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการบริหารงานให้กับผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) โดยมีนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ร่วมต้อนรับ ทั้งนี้ ภายหลังการรับฟังรายงานพบว่ากรมการขนส่งทางราง มีภารกิจที่ต้องบริหารจัดการเรื่องระบบรางทั้งหมดของประเทศ จึงต้องดำเนินการที่จะวางแผนบริหารจัดการระบบรางทั้งหมดให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งมติการบริหารงานจะต้องมีความรอบด้าน โดยจะต้องเชื่อมต่อประเทศเพื่อนได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากประเทศไทยมีความได้เปรียบถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางที่สุด หากมีการพัฒนาก็สามารถเชื่อมต่อไปยังฝั่งตะวันออกได้ เริ่มต้นจาก ประเทศลาว เวียดนาม จีน และญี่ปุ่น
         

ทั้งนี้ ระบบเน็ตเวิร์คก็มีความสำคัญว่าจะมีการวางระบบได้อย่างไร ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีก็ได้มอบนโยบายว่าจะวางระบบเน็ตเวิร์คอย่างไรจึงจะเป็นการสร้างเมืองในอนาคต ที่สำคัญต้องตอบโจทย์ความต้องการได้ ซึ่งต้องควบคู่เรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ นอกจากนี้ ส่วนเรื่องของการขนส่งสินค้าจะต้องมีการพิจารณากำหนดแนววางจุดขนถ่ายสินค้าให้เกิดความเหมาะสม เพื่อรองรับปริมาณสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       

อย่างไรก็ตาม สำหรับความคืบหน้าโครงการ ความร่วมมือรถไฟไทย-จีนนั้น ขณะนี้อยู่เร่งรัดแต่เนื่องจากติดช่วงเทศกาลตรุษจีน และเกิดการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 อยู่ในขณะนี้ แต่ทั้ง 2ฝ่าย ก็ได้ประสานงานกันอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเสนอขอมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประชุมทางไกลผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แทน ซึ่งได้มอบให้กรมการขนส่งทางราง นำต้นแบบของประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านรางมาเป็นแบบอย่างด้วย โดยจะต้องประยุกต์ให้เข้ากับประเทศไทย ร่วมถึงต้องมองถึงโครงสร้างผู้ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องราง โดยมี3 ส่วน คือ รัฐ เอกชน ประชาชน เพื่อเป็นการกำหนดร่วมกัน โดยต้องคำนึงถึงประชาชนจะต้องได้ประโยชน์สูงสุด
       

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการทบทวนการศึกษาโครงการก่อสร้างรถไฟเส้นทาง ชุมพร-ระนอง ระยะทางประมาณ 125 กม.ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการยุติการศึกษาโครงการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มองว่าสามารถเป็นทางเลือก โดยจะต้องครบทั้งระบบเพื่อเป็นการสร้างระบบโลจิสติกส์ได้อย่างสมบูรณ์ อาจจะต้องขยับไปอยู่ในพื้นที่เหมาะสมประชาชนกระทบน้อยที่สุด แต่ก็ต้องมีข้อมูลที่โปร่งใส โดยจะใช้งบประมาณกลางปี 2563 ในการศึกษา อย่างไรก็ตาม จะต้องเปิดรับฟังข้อสงสัยของทุกภาคส่วนด้วย