วันพฤหัสบดี ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567 16:34 น.

การศึกษา

นิสิตสันติศึกษา "มจร" วิจัยยกโค้ชผู้นำต้นแบบสันติภาพโดยพุทธสันติวิธี พบก่อนจะโค้ชคนอื่นต้องโค้ชตนเองก่อน

วันอังคาร ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565, 10.07 น.

วันที่ ๑๘  มกราคม  ๒๕๖๕ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร.  อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร  เปิดเผยว่า   ร่วมสนทนากลุ่มเฉพาะของการวิจัยปริญญาเอก  โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมเพื่อรับรองรูปแบบการวิจัยนิสิตคือ คุณชญาภา กาญจนทวีวัฒน์ นิสิตระดับปริญญาเอกรุ่น ๔  หลักสูตรสันติศึกษา มจร  ซึ่งเป็น ICF PCC Coach โดยได้รับความเมตตายิ่งจากพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ศาสตราจารย์ ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร เป็นประธานเปิดการสนทนาในครั้งนี้ กล่าวประเด็นสำคัญว่า จะต้องพัฒนาโค้ชให้มีสติเป็นฐานโดยคำนึงถึงบัว ๓ เหล่าในทางพระพุทธศาสนาและตระหนักถึงจริตของโค้ชและโค้ชชี่ โดยสร้างการตระหนักรู้เพื่อให้ค้นพบคำตอบชีวิตด้วยตนเอง โดยศึกษาการโค้ชของพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้ามีกระบวนการโค้ชอย่างไรในแต่ละบริบท  รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้มุมมองในการพัฒนางานวิจัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยมีพระธรรมวัชรบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. อธิการบดี มจร เป็นประธานควบคุมดุษฎีนิพนธ์ และมีพระปราโมทย์ วาทโกวิโท ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มจร เป็นกรรมการร่วมในการดูแลดุษฎีนิพนธ์เล่มนี้  

แท้จริงเราไม่ได้เป็นอะไรแต่เป็นผู้มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง โดยพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้วิเศษแต่เป็นผู้สร้างบารมีพัฒนาตนเองจนมีความเข้มแข็ง แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกดีแล้วจึงเป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นเป็นของกลางมีความสากลเป็นธรรมชาติแต่พระองค์ไปค้นพบ โดยตรัสว่าเราเป็นผู้ค้นพบซึ่งธรรมะเป็นสมบัติสาธารณะอยู่ในกฎของธรรมชาติแล้วนำมาเปิดเผย อยากจะรู้จะต้องนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริง โดยไม่เคยจดลิขสิทธิ์ทางปัญญาแต่บางกลุ่มพยายามจดลิขสิทธิ์ทางปัญญามีการผูกขาด โดยสติ สมาธิ ปัญญาเป็นสมบัติของมนุษยชาติ แต่เราพยายามให้พระพุทธเจ้าอยู่บนหิ้งทำให้เข้าถึงยาก พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์แต่พัฒนาตนเอง เราเป็นมนุษย์แต่ทำเพื่อมนุษย์ มนุษย์อ่อนแอจึงพยายามพึ่งสิ่งภายนอกหรือพึ่งสิ่งอื่น แต่มนุษย์ที่เข้มแข็งจะต้องพึ่งตนเอง โค้ชจึงเป็นการดึงศักยภาพของคนหนึ่งเกิดการตระหนักรู้จนสามารถหาคำตอบด้วยตนเอง จึงถามคำถามให้ถูกจะได้คำตอบที่ถูกต้องแต่ต้องปฏิบัติจึงนำไปสู่การได้คำถาม “ถามให้ถูกคำตอบจึงถูก” จึงต้องฟังเพื่อหาประเด็นฟังอย่างลึกซึ้ง  ฝึกการถามเพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวเขาเองผ่านกากระตุ้น “บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตัวเท่านนั้น” จึงมีการสะท้อนแต่แท้จริงการเรียกว่าโค้ชและโค้ชชี่อาจจะเป็นการแบ่งแยก เพราะการเป็นโค้ชจะใช้อำนาจเหนือสร้างตัวตนว่าเป็นโค้ช แต่แท้จริงเป็นเพียงสภาวะของความรู้สึก พร้อมชื่นชม เพราะคนที่มีความทุกข์เป็นบุคคลที่มีความอ่อน จะต้องศึกษาจริต ๖ ในทางพระพุทธศาสนา เช่น โทสจริต จะมีวิธีการโค้ชอย่างไร จะต้องศึกษาจริตในทางพระไตรปิฎก วิสุทธิมรรค และวิมุตตมรรค ซึ่งอธิบายไว้อย่างดียิ่ง   

จึงต้องเรียนรู้การโค้ชที่มีสติเป็นฐาน MBC : Mindfulness Based Coaching  โดยพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลายเราสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์” คนที่มาหาเรามีความทุกข์ เป็นความทุกข์แบบเจียนตายจึงมาหาเรา ทุกข์สามัญไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแต่ถ้าทุกข์แบบเจียนตายจะเห็นทุกข์เห็นธรรมเห็นพระพุทธเจ้า การโค้ชจะต้องเดินตามกรอบของอริยสัจกล้าที่จะยอมรับว่ามีความทุกข์ โดยการยอมรับความจริงว่าเราทุกข์ ย้ำว่าความทุกข์ไม่ได้เกิดจากคนอื่นแต่อยู่การกระทำของเรา อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง แต่ถ้าเรามีสติจะไม่ทุกข์เพราะระลึกได้ว่ากำลังทุกข์ จะต้องอยู่กับความจริงว่าทุกข์ว่าใจของเรายึด ปรุงแต่ง ทุกข์เพียงสภาวะหนึ่งเดี๋ยวก็หายไป จงอย่ากลัวความทุกข์ เพราะไม่มีอยู่จริง ทำไมเราไม่ชอบคนนี้ทำไมคนนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตเรา จึงต้องเดินตามกรอบอริยสัจ ๔ ประกอบด้วย “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ก่อนจะโค้ชคนอื่นจะต้องสามารถโค้ชตนเองได้ เราจึงต้องอธิษฐานบารมีเพื่อนำตนเองไปสู่ความสุขความสำเร็จ จะต้อง Set ความคิดของตนเองใหม่จึงมีคำว่า Mindset ด้วยการหายุทธศาสตร์ไปสู่เป้าหมายด้วยการวิธีการ โดยโปรแกรมเป้าหมายก่อนจึงหาวิธีการว่าจะไปหาเป้าหมายนั้นอย่างไร คำว่า สิทธัตถะมีสมบัติภายในเพราะมองว่ามีทุกอย่างในชีวิตแต่สิ่งที่ไม่มีคือความสุข จะต้องสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อการกระตุ้นสิ่งใหม่ แต่อย่าเรียนโค้ชเพื่อเสริมอัตตาตนเอง เพราะการโค้ชในทางพระพุทธศาสนาคือ พระวิปัสสนาจารย์ ผ่านการสอบอารมณ์กรรมฐานแต่ความจริงคือใช้วิธีการเดียวกัน 

โดยพระพุทธเจ้าค้นพบประสบการณ์แล้วส่งมอบประการณ์ให้แก่คนอื่น เราจะต้องเข้าถึงประสบการณ์โดยตรงจึงสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ “เข้าถึงประสบการณ์ตรงให้ได้อย่าพูดโดยจำใครมา” จะต้องฝึกให้หนักมิใช่จำให้มาก เพราะการฝึกคือประสบการณ์ตรง อย่าลืมว่ากิเลสตัวเดียวกัน  พระพุทธเจ้าใช้การโค้ชถามว่า “น้ำกับเลือดสิ่งใดมีค่ามากกว่ากัน” ถามชายหนุ่มว่า “เธอจะตามหาผู้หญิงหรือจะตามหาตัวเอง” เพื่อเกิดการตระหนักรู้  ถามองคุลิมาลว่า “เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด” เราหยุดแล้วจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  ถามนางกีสาโคตรมี ทุกข์เพราะลูกตาย ถามชาวบ้านว่าบ้านใครมีเมล็ดผักกาดในบ้านที่ไม่มีใครตาย ทำให้นางกีสาโคตรมีเกิดการตระหนักรู้ด้วยตนเอง ถ้าจะโค้ชให้ดีจะต้องรู้จักตนเองด้วยการดูลมหายใจตนเอง เรามักพยายามรู้จักคนอื่นแต่ไม่รู้จักตนเองจึงเกิดแต่ความทุกข์ จะต้องทำความรู้จักจิตตนเองก่อนจะไปรู้จักจิตของคนอื่น จะต้องรู้จักตนเองอย่าเพียงรู้จำมา โค้ชจะต้องปฏิบัติเพื่อรู้จักตนเอง  เวลาโค้ชพยายามพูดถึงสมองแต่ไม่ได้ดด้านจิตใจ ซึ่งสมองของไฮสไตล์ไม่ได้แตกต่างจากเราเลย สมองเป็นเพียงก้อนเนื้อ แต่จะมีค่ามากขึ้นถ้านำไปสู่การปฏิบัติจิตใจ สติสมาธิจะส่งผลให้สมองมีพลังมีความเป็นระบบปรับสมองให้มีพลัง จิตอยู่ทุกที่เพราะเวลาจิตดีจะเปลี่ยนไปสู่กรรมพันธุ์ และสามารถเปลี่ยน DNA โค้ชจะต้องสร้างพลังภายใน จะต้องพัฒนาการโค้ชที่มีสติเป็นฐาน      

หน้าแรก » การศึกษา