วันศุกร์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567 15:31 น.

ต่างประเทศ

มุสลิมปาเลสไตน์ประท้วงปิดมัสยิดอัลอักซอดับ4

วันเสาร์ ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 10.57 น.

มุสลิมปาเลสไตน์ประท้วงปิดมัสยิดอัลอักซอดับ4


ชาวมุสลิมปาเลสไตน์ประท้วงอิสราเอลปิดล้อมมัสยิดอัล อักซอ ถูกยิงเสียชีวิต 4 รายเป็นนศ. 2 ราย บาดเจ็บ 380 ราย

 

เว็บไซต์เอ็มทูเดย์ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 ชาวปาเลสไตน์หลายหมื่นคนได้เดินขบวนประท้วงอิสราเอล กรณีการปิดล้อมและการเข้มงวดในการเข้ามัสยิดอัลลักซอ ที่อัลกดุส์ทางตอนใต้ของเยรูซาเลมแต่ได้ถูกทหารอิสราเอลปราบปรามอย่างรุนแรง ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ปักหลักสู้ต่อไปพร้อมสละชีวิตปกป้องอัลอักซออย่างเข้มแข็ง ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 4 คน ถูกสังหารเสียชีวิตนั้นคือนายมูฮัมหมัด อาบู กานัม เป็นนักศึกษา Birzeit University อายุ 20 ปี  และนายมูฮัมหมัด มะมูด ชารัฟ อายุ  17 ปี ถูกยิงโดยทหารอิสราเอลเสียชีวิต


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์ เปิดเผยว่า มีผู้บาดเจ็บ 380 คน จากการถูกโจมตีของอิสราเอลถูกส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลนับเป็นสถาการณ์ที่เลวร้ายอีกครั้งที่เกิดกับพี่น้องปาเลสไตน์


มีรายงานว่า มีมุสลิมหลายประเทศเดินขบวนและออกแถลงการณ์ประนามการกระของอิสราเอล อาทิที่จอร์แดน ตุรกี  โดยอิสราเอลได้ปิดล้อมมัสยิดอัล อักซอ และควบคุมอย่างเข้มงวดในการอนุญาตให้พี่น้องปาเลสไตน์เข้าไปละหมาด ปาเลสไตน์จึงได้ละหมาดหน้ามัสยิด แต่ถูกขัดขวางและทำร้ายอิหม่าม และเมื่อถึงเวลาทีจะต้องละหมาดวันศุกร์ พี่น้องปาเลสไตน์ได้นัดชุมนุมใหญ่ และถูกสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง

 

ประวัติมัสยิดอัลอักซอ ณ.“บัยตุ้ลมักดิส


**ชื่อภาษาอาหรับที่ใช้เรียกบริเวณเมืองเยรูซาเล็ม ตรงที่เป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “บัยตุ้ลมักดิส” หรือ “บัยตุ้ลมุก็อดดัส”  อัลกุดส์(ดินแดนปาเลสไตน์) มีความสำคัญสำหรับมุสลิมก็เพราะเป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอ มัสยิดที่นบีสุไลมาน(อะลัยฮิสลาม) สร้างขึ้นและถูกใช้เป็นกิบลัตแรก(ทิศที่มุสลิมหันหน้าไป เวลาละหมาด) แห่งแรกมาจนกระทั่งสมัยของท่านนบีมุฮัมหมัด(ศ้อลฯ) ก่อนที่จะมีบัญชาจากอัลลอฮให้เปลี่ยนมาเป็นกะอบะฮแทน นอกจากนี้แล้วมัสยิดอัลอักซอยังเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามอันเนื่องมาจากการที่มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ในการเดินทางของคืนหนึ่ง (อิสรออฺ) สู่บัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) ที่ท่านได้เป็นผู้นำละหมาดแก่บรรดาท่านนบีคนอื่นๆ ที่มัสยิดอัลอักซอแห่งนี้ก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ฟากฟ้าเบื้องสูงในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า”อิสรออและมิอ์รอจญ์” อัลลอฮฺ(ซบ.)ได้กล่าวว่า “มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์ เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอม ไปยังมัสยิดอัลอักซอ


ซึ่งบริเวณรอบมัน เราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่าง จากสัญญาณต่างๆ ของเรา แท้จริงพระองค์ คือ ผู้ได้ยิน ผู้ทรงเห็น”ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ 1” และเป็นหนึ่งในสามมัสยิด ที่ผู้คนเดินทางมา โดยมีเป้าหมายเพื่อการอิบาดะฮฺ (ต่ออัลลอฮฺ) ตามหะดีษที่รายงานโดย อิมาม บุคอรียฺและอิมามมุสลิม ซึ่งรายงานมาจาก อบู ซัรรฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮุ) โดยเขากล่าวว่า:ครั้งหนึ่ง ฉันได้ถามท่านนบีว่ามัสยิดอะไรเป็นมัสยิด แรกที่ถูกสร้างขึ้นบนโลก “มัสยิดที่ถูกสร้างขึ้นมา บนแผ่นดินเป็นแห่งแรกคือมัสยิด อัลหะรอม (ในมักกะฮฺ) หลังจากนั้น มัสญิดอัล-อักซอ ฉันถามต่อว่า มีระยะเวลาห่างเท่าไหร่ ระหว่างสองมัสยิดนี้? ท่านตอบว่า สี่สิบปี ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยู่มัสยิดไหน (ระหว่างสองมัสยิดนี้) เมื่อเข้าเวลาละหมาด เจ้าจงละหมาด เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะปฏิบัติ”


**เมื่ออัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมครั้งแรกในสมัยคอลีฟะห์อุมัร ประมาณปี ค.ศ. 638 คอลีฟะห์อุมัรได้ดำเนินนโยบายเปิดให้อัลกุดส์เป็นแผ่นดินสำหรับผู้ศรัทธาในพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือมุสลิมให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยกำหนดให้ชาวคริสเตียนต้องจ่ายภาษียิซยะห์แก่รัฐบาลกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับความคุ้มครองปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและเสรีภาพในการนับถือศาสนา อัลกุดส์อยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมมาเป็นเวลานานนับร้อยปี จึงได้ถูกพวกคริสเตียนเข้ามายึดครองในสมัยสงครามครูเสด


**อัลกุดส์ยึดกลับคืนมาเป็นของมุสลิมอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ.1187 โดย ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบี แม่ทัพมุสลิมนามอุโฆษที่โลกตะวันตกรู้จักดีกันในนาม “ซาลาดิน” ซอลาฮุดดีนดำเนินนโยบายการปกครองอัลกุดส์เช่นเดียวกับคอลีฟะห์อุมัร แต่หลังจากนั้นประมาณ 50 ปี อัลกุดส์ก็ตกเป็นของฝ่ายคริสเตียนอีกและหลังจากนั้นไม่นานฝ่ายมุสลิมก็สามารถยึดคืนกลับมาได้ในสมัยของราชวงศ์มัมลู้ก แห่งอียิปต์


**หลัง ค.ศ. 1516 อัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักอุสมานียะห์ หรือ ออตโตมานเติร์ก นับเป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อยุโรปมีความเจริญเข้มแข็งขึ้นในขณะที่อาณาจักรอุสมานียะห์เสื่อมอำนาจลงในปี ค.ศ.1881 ชาวยิวจากทั่วโลกก็เริ่มอพยพกันเข้าไปในอัลกุดส์มากขึ้นด้วยคำอ้างตามความเชื่อว่าแผ่นดินตรงนี้คือแผ่นดินที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้แก่พวกตน


**หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อัลกุดส์ตกเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินปาเลสไตน์ใต้อาณัติของอังกฤษและพวกยิวได้รับโอกาสให้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้มากขึ้นจนเกิดการต่อต้านจากชาวอาหรับที่อาศัยอยู่เดิมตลอดมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ. 1948 สหรัฐอเมริกา อังกฤษและรัสเซีย ได้สมยอมกันให้ชาวยิวตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในแผ่นดินปาเลสไตน์ซึ่งผนวกเอาอัลกุดส์เข้าไว้ในอิสราเอลด้วย และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขบวนการชาตินิยมชาวยิว หรือ ขบวนการไซออนิสต์ก็พยายามหาหนทางที่จะสถาปนาอัลกุดส์หรือเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลโดยสมบูรณ์


ท่าน นบีดาวุด อะลัยฮิสลาม ได้เลือกเมืองเยรูซาเล็มตามคำบัญชาของอัลลอฮฺ ประมาณหนึ่งพันปีก่อนคริสตศักราช หลังจากนั้นลูกชายของเขาคือ ท่านนบี สุลัยมาน อะลัยอิสลาม ได้สร้างมัสญิดในเมืองเยรูซาเล็มตามวิวรณ์ที่ท่านได้รับจากอัลลอฮฺ ตะอาลา นับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่บรรดานบีและศาสนทูตของอัลลอฮฺได้ใช้มัสญิดแห่งนี้ เพื่อการเคารพสักการะอัลลอฮฺ จนกระทั่งชาวบาบิโลน ได้เข้าทำลายในปี 586 ก่อนคริสตศักราช แต่ไม่นานมันก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูและคืนสู่การใช้เพื่อการเคารพสักการะอัล ลอฮฺในปี 516 ก่อนคริสตศักราช และ ถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นอีกหลายศตวรรษจนกระทั่งถึงยุคของท่านนบี อีซา อะลัยฮิสลาม เมื่อท่านออกไปจากโลกนี้ พวกโรมันก็เข้ามา ทำลายเมืองแห่งนี้ในปีที่ 70 ของคริสต์ศักราช


**มัสยิดที่เป็นสถานที่ละหมาดหลักนั้นไม่ใช่โดมศิลาทอง(Dome of the rock )หรือมัสยิดอัลซอกห์เราะห์ (Al Sakhrah) แต่เพราะว่ารูปภาพของโดมนั้น มีอย่างแพร่หลาย มีมุสลิมจำนวนไม่น้อย คิดว่าเมื่อพวกเขาเห็นมันแล้ว นั่นก็เป็นมัสยิดอัลอักซอ นี่ไม่ใช่ความจริง มัสยิดนี้ ตั้งอยู่ตอนใต้ของเนิน ส่วนโดมศิลาถูกสร้างคลุมหินลอย (raised rock) ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของที่ราบสูง***

 
......................

(หมายเหตุ : ข้อมูลจาก http://www.mtoday.co.th/17163และMarowee Tuanmaeroh)