วันศุกร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567 13:43 น.

ไอที

โลกสุ่มเสี่ยงแล้ว!จีนดึงวัยรุ่นหัวกะทิใช้ AI พัฒนาอาวุธป้อนกองทัพ

วันเสาร์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 11.28 น.
tags : AI

โลกสุ่มเสี่ยงแล้ว!!จีนดึงวัยรุ่นหัวกะทิใช้ AI พัฒนาอาวุธป้อนกองทัพ
: สำราญ สมพงษ์ รายงาน

 


ต้องยอมรับว่า พัฒนาการการใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ(Artificial Intelligence) มีความก้าวหน้าไปมาก เข้ามามีอิทธิพลแทบทุกวงการแล้ว แม้แต่วงการสื่อสารมวลชนที่สำนักข่าวล่าสุดสำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ของจีน ได้ทดลองใช้ AI ทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการจำลองให้มีลักษณะเป็นภาพชายสวมสูทเหมือนกับผู้ประกาศข่าวที่เป็นมนุษย์ แล้วพบว่าสามารถอ่านข่าวได้แทบไม่ต่างจากกันแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็ยังมีจุดที่ต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข นั่นคือน้ำเสียงที่ยังดูเหมือนหุ่นยนต์ที่ฟังดูแล้วงุ่มง่ามอยู่บ้าง
          


เทคโนโลยีนี้พัฒนาโดยสำนักข่าวซินหัวร่วมกับ Sogou ซึ่งเป็นเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลต่างๆ สัญชาติจีน (แบบเดียวกับ Google ของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งมีวัตถุประสงค์นำไปใช้รายงานข่าวได้ 24 ชั่วโมงบนเว็บไซต์ทางการของซินหัวรวมถึงสื่อออนไลน์หลายรูปแบบ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่  ศ.ไมเคิล วูลดริดจ์ (Prof.Michael Wooldridge) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ กล่าวว่าปัญหาสำคัญของการนำ AI มาอ่านข่าวคือน้ำเสียงราบเรียบเกินไป ไม่มีจังหวะเน้น ทำให้ไม่น่าติดตาม
 


พร้อมกันนี้สำนักข่าว RT ของรัสเซีย รายงานว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำของรัฐบาลจีน คัดเลือกวัยรุ่นชาย 27 คน และหญิง 4 คน ทั้งหมดอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิที่สุดในประเทศจีนที่คัดจากผู้สมัครทั้งหมด 5,000 คน เข้าร่วมโครงการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพ ถือเป็นทีมพัฒนาอาวุธที่อายุน้อยที่สุดในโลก
          


รายงานข่าวระบุว่า โครงการนี้เน้นหนักไปที่การนำเทคโนโลยี AI เพื่อแข่งขันความเป็นผู้นำด้านการทหารในโลกอนาคตกับสหรัฐอเมริกา ผู้ได้รับคัดเลือกทั้งหมดจะได้รับการอบรมโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านอาวุธทั้งจากภาควิชาการและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงได้ฝึกงานในห้องปฏิบัติการจริง รวมระยะเวลา 4 ปีจนจบหลักสูตร  ก่อนหน้านี้จีนเป็นชาติแรกที่เรียกร้องให้ประชาคมโลกผ่านกลไกสหประชาชาติ (ยูเอ็น - UN) ห้ามการพัฒนาอาวุธที่มีระบบการตัดสินใจโจมตีเองโดยอัตโนมัติ โดยจะต้องมีมนุษย์เป็นผู้ควบคุมสั่งการเท่านั้น ถึงกระนั้นก็พบว่านอกจากจีนแล้ว สหรัฐกับรัสเซียก็ไม่สนับสนุนหลักคิดการห้ามพัฒนาอาวุธระบบอัตโนมัติเช่นกัน
          


เอเลนอร์ พาวเวลส์ (Eleonore Pauwels) ผู้เชี่ยวขาญจากศูนย์วิจัยนโยบายสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐ แสดงความกังวลกับโครงการดังกล่าวของจีน โดยระบุว่าเป็นโครงการระดับมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่มีท่าทีแข็งกร้าวและสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในงานทางการทหาร ซึ่งโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของจีนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกด้าน AI ที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2573
          


รายงานข่าวยังอ้างถึงท่าทีของสีจิ้นผิง (Xi Jinping) ผู้นำสูงสุดของจีนคนปัจจุบันที่กล่าวเมื่อปี 2560 ว่าจะทำให้ประเทศเข้มแข็งขึ้นโดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI นำไปสู่การระดมทรัพยากรทั้งจากภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของจีน แต่อีกด้านหนึ่ง ท่าทีแข็งกร้าวของจีนก็กระตุ้นให้โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐ ทำในสิ่งเดียวกัน โดยเมื่อเดือน ก.ย. 2561 สำนักโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม (ดาร์ปา - DARPA) ของสหรัฐ ประกาศโครงการพัฒนาด้าน AI ตั้งงบประมาณไว้ที่ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 9 หมื่นล้านบาท
 


ขณะเดียวกันธุรกิจโฆษณ นายโคสุเกะ โซโก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท AnyMind Group ผู้ให้บริการโซลูชัน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมโฆษณา การตลาดและทรัพยากรบุคคล เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่กับโซเชียล มีเดียมากขึ้น รวมถึงการได้รับสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องของไทยแลนด์ 4.0 ส่งผลให้ประเทศไทยที่ผ่านมามีการกระตุ้นเรื่องของเศรษฐกิจดิจิตอล มากขึ้น รวมถึงการที่ประเทศไทยเป็น Hub City ที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกให้ความสนใจ แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังขาดเรื่องของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในองค์กรด้านต่างๆ ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงมองว่านี่คือโอกาสและมีเป้าหมายบริษัทเป็นผู้ให้บริการ ONE STOP SOLUTION ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
          


บริษัทมองว่าการนำโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผ่านแพลตฟอร์มแบบครบวงจรจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับมืออาชีพ ธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้แม่น ยำเนื่องจากปัจจุบันบริษัท มีสาขาทั้งหมดจำนวน 12 แห่ง ใน 11 ประเทศ ที่เก็บข้อมูล BIG DATA จำนวนมาก รวมถึงสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ระหว่างประเทศด้วยกันได้อย่างละเอียด อาทิ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ พฤติกรรมลูกค้า อื่นๆ ดังนั้นการแสดงผลโฆษณาแต่ละครั้งหรือการแก้ไขปัญหาองค์กรต่างๆ จึงสามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ
          


ขณะเดียวกันบริษัทมุ่งแก้ไขปัญหาและดำเนินด้านการโฆษณาและการตลาดดิจิตอลที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่นในเอเชีย โดยใช้ประโยชน์แพลตฟอร์ม AI เข้าไปช่วยแก้ปัญหา โดยมี AdAsia Digital Platform for Publishers ซึ่งเป็นโซลูชันที่จะเข้า ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงโฆษณากับเจ้าของสื่อออนไลน์ หรือการกำหนดราคาขั้นต่ำแบบไดนามิก (สามารถปรับเปลี่ยนอัตโนมัติตามความเหมาะสม) สำหรับพื้นที่โฆษณา
          


"ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคของข้อมูลอย่างเต็มตัวโดยเฉพาะกับการทำดิจิตอล มาร์เก็ตติ้งนั้นข้อมูลถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากจึงได้เปิดตัวแผนก Data and Analytics พร้อมกับการเกิดขึ้นของบริษัท รีไพรส์ฯ"
          


เมื่อมีประโยชน์ก็มีโทษมหันต์ เพราะเมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเฟซบุ๊กที่มีผู้ใช้งานกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลก จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม “ไซมอน ฮารารี” ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านเนื้อหา ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เฟซบุ๊ก ยืนยันว่า การป้องกันผู้ใช้จากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจที่จะช่วยเหลือผู้คนในการสร้างชุมชนและเชื่อมต่อคนทั่วโลก  โดยเนื้อหาที่ถูกจับตาคือ เนื้อหาโป๊เปลือย และกิจกรรมทางเพศ เนื้อหาความรุนแรง โฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย เนื้อหาที่ใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง  เมื่อเจอช่องโหว่ มอนิเตอร์ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง ครอบคลุม 50 ภาษา เพิ่มทีมงานจาก 1 หมื่น เป็น 2 หมื่นคน และยังใช้ AI รวมถึงการรายงานจากผู้ใช้ เพื่อดูเนื้อหาที่ผิดข้อกำหนด

 

ที่ผ่านมาเฟซบุ๊กได้ลบแอ็กเคานต์บัญชีผู้ใช้ปลอมถึง 583 ล้านราย ซึ่ง 99% ตรวจสอบพบหลังลงทะเบียน 1 นาที ถอดสแปมออกไปกว่า 837 ล้านสแปม กำจัดเนื้อหาลามกกว่า 21 ล้านชิ้น ซึ่งเกือบ 100% ตรวจเจอโดย AI และลบคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาเชิงปลุกปั่นกว่า 1.9 ล้านเนื้อหา โดย 99.5% AI ตรวจพบก่อนจะมีการแจ้งรายงาน ทั้งยังกำจัดคำพูดสร้างความเกลียดชังกว่า 2.5 ล้านข้อความ ซึ่ง 38% พบโดย AI

 

ดังนั้น การจะให้ AI ขาว แก้ AI ดำ อย่างเดียวคงไม่พอ ประเด็นอยู่ที่มนุษย์เองที่เป็นตัวสั่งการให้ AI ทำหน้าที่แทน ซึ่งวัคซีนหรือตัวยับยั้ง AI ดำได้ดีที่สุดก็คือ มนุษย์ต้องมีสติที่จะเป็นตัวคอยควบคุม AI หรือปัญญาประดิษฐ์ให้เป็น AI ขาว หากมนุษย์ตั้งหน้าตั้งตาใช้ AI ดำสร้างอาวุธเป็นต้น คงไม่ช้ามนุษย์ก็คงจะบรรลัยแน่นอน ดังนั้น จึงควรจะต้องมีหลักไตรสิกขา 4.0 นั้น ก็คือ ศีล สติ และปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็น 3 ขาให้สมดุล ไม่ควรเน้นแต่ด้าน AI โดยไม่เห็นความสำคัญของ ศีล และ สติ ที่เป็นตัวคุณธรรม 

หน้าแรก » ไอที

ข่าวในหมวดไอที