วันเสาร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567 18:14 น.

การเมือง

"ช่อ"ปลื้ม! "แฟลชม็อบ"อารยะ เลิกชุมนุมขยะแทบไม่มีให้เห็น

วันอาทิตย์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562, 15.12 น.

"ช่อ"ปลื้ม! "แฟลชม็อบ"อารยะ เลิกชุมนุมขยะแทบไม่มีให้เห็น ทางด้าน "ชาญวิทย์" หวังสร้างจุดเปลี่ยนการเมืองไทยสู่ประชาธิปไตย ฟันธงรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม "อนาคตใหม่"เวทีฟังปัญหา"ที่ดิน - ทรัพยากรฯ"ชงเป็นวาระแห่งชาติ

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2562 นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงการชุมนุมที่สกายวอล์ก ปทุมวัน วานนี้ (14 ธ.ค.) ว่า ประชาชนที่มารวมตัวกันไม่ได้มาเพื่อสร้างความวุ่นวายตามที่มีบางคนแสดงความกังวลแต่อย่างใด คนที่ออกมาชุมนุมล้วนทำกิจกรรมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จะเห็นได้ว่าแม้ตอนเลิกชุมนุมแล้ว ขยะของผู้ที่มาร่วมชุมนุมก็แทบจะไม่มีให้เห็น 

ส่วนระยะเวลาการชุมนุม แกนนำของพรรคทุกคนกลับตรงเวลา แต่ในส่วนของประชาชนอาจจะเกินเวลาไปบ้าง ซึ่งในส่วนนี้เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่สุดท้ายก็แยกย้ายกลับก่อน 19.00 น. ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เราออกมารวมตัวกันด้วยความสงบ โดยไม่สร้างความเดือดร้อน ขณะที่จำนวนคนที่ออกมานั้น มากกว่าที่คิดไว้แต่แรกขณะเดียวกัน 

โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวด้วยว่า การชุมนุมวานนี้ ไม่ใช่เรื่องของการปกป้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อย่างแน่นอน เพราะตอนนี้มาถึงจุดที่ไกลกว่านั้นแล้ว และการชุมนุมดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการทำผิดกฎหมาย แต่เป็นสิทธิที่ประชาชนพึงมีตามรัฐธรรมนูญที่ คสช.ร่างขึ้นมา 

"ชาญวิทย์"หวังแฟลชม็อบสร้างจุดเปลี่ยนการเมืองไทยสู่ประชาธิปไตย ฟันธงรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม 

ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน(ครช.) เปิดเผยในงานมหกรรมรัฐธรรมนูญ ประชาชนว่า ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันยากมากที่รัฐบาลจะบริหารงานได้ครบเทอม 4 ปี เพราะปัจจุบันจะเห็นว่าการบริหารของรัฐบาลเป็นการบริหารและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าในระยะสั้นเท่านั้น แม้รัฐบาลจะมีแผนบริหารระยะยาว คือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ไม่ค่อยเห็นการดำเนินการที่เป็นหลักเป็นฐานเห็นเพียงการดำเนินการชั่วครั้งชั่วคราวพอให้อยู่ต่อไปได้เท่านั้น ทั้งนี้ ในความเข้มแข็งในสภาของรัฐบาลก็ไม่มากพอ ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศก็อ่อนแอ ซึ่ง 3 สิ่งที่จะเห็นหลังจากนี้ คือ 1.รัฐบาลอาจจะถูกบีบให้ลาออก 2.อาจจะเห็นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ หรือ 3.การยึดอำนาจครั้งใหม่

"ในอนาคตอันใกล้เป็นไปได้ทั้ง 3 ประตู คือจะมีการยึดอำนาจใหม่ การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ หรือการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องลาออก แต่ยังไม่กล้ายืนยันหนักแน่นว่าจะออกประตูไหนเพราะมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งในสถานการณ์ที่มันลื่นไหล มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดาและคาดการณ์ไม่ได้ ทุกอย่าง 50:50 อาจจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลงกว่าเดิมก็ได้" นายชาญวิทย์ กล่าว 

นายชาญวิทย์ กล่าวถึงกรณีแฟลชม็อบว่า ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้แต่จากที่เห็นจากข่าวและโซเชียลมีเดียแล้วต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เข้าร่วมในแฟลชม็อบครั้งนี้ เพราะถือเป็นวิธีการดำเนินการที่เป็นไปอย่างสันติวิธี หรือ สันติประชาธรรม ซึ่งเป็นการแสดงอารยขัดขืน และไม่ได้ใช้ความรุนแรง ถ้าการแสดงเข่นนี้สามารถจะทำได้ต่อไปไม่ถูกปราบปรามน่าจะมีความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยได้บ้าง

"ดูจากโมเดลการทำแฟลชม็อบของมาเลเซียซึ่งเรียกร้องการเลือกตั้งที่สะอาดและยุติธรรม ม็อบได้ใส่เสื้อสีเหลืองรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว มีการปราศรัยที่ตึกแฝดปิโตรนาส กรุงกัวลาลัมเปอร์ และแยกย้ายอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการปะทะกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดฝ่ายค้านชนะ รัฐบาลเก่าอยู่มานานมากจนไม่มีใครคิด ผมมีความหวังอยู่ว่าในบ้านเมืองของเราต้องเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยโดยสันติวิธีไม่เป็นไปในรูปแบบของกัมพูชา เมียนมา ขณะนี้เรากำลังเปลี่ยนผ่านอย่างไม่เคยมีมาก่อนเชื่อว่าไทยจะไม่ย่ำซ้ำรอยเหมือนที่เคยในอดีตหลายสิบปี นี่คือยุคของการเปลี่ยนผ่านแล้ว ซึ่งคนรุ่นใหม่ คนที่มีความคิดใหม่ทำท่าว่าจะขึ้นมาได้แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกจำกัด หรือกำจัด"  นายชาญวิทย์ กล่าว

นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ตัวแทนของอำนวจเดิม บารมีเดิมคงต้องการอย่างยิ่งที่จะกำจัดคนที่เป็นตัวแทนของอำนาจใหม่ บารมีใหม่ ความคิดใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ถ้าไม่ให้คนรุ่นใหม่เล่นตามกรอบเล่นในระบบรัฐสภา เขาก็มีสิทธิที่จะอ้างการเล่นนอกระบบได้ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ อยู่ที่ว่าตัวแทนของอำนาจเก่า บารมีเก่า ฉลาดพอที่จะมองทางออกที่ดีที่สุดของสังคมไทยจะเป็นทางไหน จะเป็นทางที่ใช้ความรุนแรง มีการปราบปรามและนองเลือด หรือทางที่มีสติปัญญามากกว่านั้นในการที่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดกลุ่มอำนาจใหม่ บารมีใหม่ เกิดข้อกังขาและความไม่ยุติธรรม เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าสองมาตรฐาน และสิ่งที่เรียกว่าไม่มีมาตรฐานเลยเกิดขึ้น

"ที่สุดแล้ว ผู้ที่มีอำนาจหรืออยู่ในอำนาจมานานต้องตะหนักว่าทั้งโลกและไทยเปลี่ยนไปแล้ว จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และวิถีทางประชาธิปไตย ต้องมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชน มีรัฐสภา มีผู้แทนราษฎรษณ์ที่จะต้องเป็นสากลไม่ใช่รูปแบบไทย ๆ อย่างที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งที่สะอาดยุติธรรม ในส่วนของประชาชนเองมีการเรียนรู้จากประสบการณ์หลายสิบปีที่ผ่านมา ขณะนี้ไม่มีประชาชนที่เป็นชนชั้นล่าง ที่อยู่พื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบทแบบเดิม ๆ ที่ถูกนำเข้ามาเพื่อการประท้วงใช้ประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งไม่ใช้บทบาทที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ แต่ประชาชนกลุ่มนี้มีบทบาทอย่างมากที่จะผลักดันกลุ่มอำนาจใหม่ บารมีใหม่ให้ขึ้นมา ซึ่งทุกคนเข้าใจแล้วว่าบัตรเลือกตั้งเป็นตัวชี้ขาดว่าเขาจะมีอำนาจและมีสิทธิในประเทศนี้" นายชาญวิทย์ กล่าว

"อนาคตใหม่"เวทีฟังปัญหา"ที่ดิน - ทรัพยากรฯ"ชงเป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้(15 ธ.ค.) ที่วัดป่าสระแก้ว ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร พรรคอนาคตใหม่ ยโสธร จัดเวทีรับฟัง "ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม"  โดยบรรยากาศในช่วงเช้ามีประชาชนทยอยเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะมีการเปิดเวทีให้พูดถึงปัญหาของแต่ละพื้นที่ อาทิ ปัญหาถูกขับไล่จากที่ดินทำกินที่อยู่มาเนิ่นนานจากนโยบายทวงคืนผืนป่า, ปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองแร่, ปัญหาผลกระทบจากการก่อสร้างโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล เป็นต้น โดยเวทีดังกล่าว เป็นการรวมตัวของประชาชน 20 จังหวัดภาคอีสาน รวมแล้วกว่า 3,000 คน เข้าร่วม ขณะที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ในพื้นที่ภาคอีสานร่วมพบปะประชาชน อาทิ นายอภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะ รองประธานกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง นายคารม พลพรกลาง, นายองค์การ ชัยบุตร, นายสำลี รักสุทธี
          
ทั้งนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเดินทางมาร่วมฟังปัญหาและรับหนังสือร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนด้วย
          
นายอภิชาติ กล่าวว่า ตลอดการทำงานของ กมธ.การที่ดินฯ ชุดปัจจุบัน มีปัญหาของพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามาแล้ว ราว 200-300 เรื่อง มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 12 ล้านคน โดยส่วนใหญ่มาจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ตามคำสั่ง คสช. ซึ่งเรื่องนี้ไม่เฉพาะแต่ในภาคอีสานเท่านั้น แต่กระทบไปทั่วประเทศ มีคดีความเกี่ยวข้องกว่า 9 หมื่นคดี และที่สำคัญมีการใช้มาตรการรัฐที่เข้มข้นในการจัดการ ทั้งจับกุม ดำเนินคดี ไล่รื้อถอน ตัดโค่นพืชผลทางการเกษตร สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมาก ซึ่งในส่วนของ กมธ.การที่ดินฯ การแก้ปัญหา ระยะสั้น เราจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ทุเลาการบังคับเรื่องคดีความ ตลอดจนผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ขณะที่ระยะยาว มีความจำเป็นต้องศึกษาให้เห็นถึงปัญหา โดยเฉพาะปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดิน ซึ่งมีอยู่หลายฉบับมาก และกระจายอยู่กับหลายกระทรวง ไม่มีความเป็นเอกภาพ อีกทั้งต้องรับรองสิทธิชุมชนอย่างแท้จริงด้วย
          
"ผมคิดว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราต้องทำให้เรื่องปัญหาที่ดินเป็นวาระแห่งชาติ ส.ส.ในฐานะตัวแทนของประชาชนต้องพูดเรื่องนี้ให้มากขึ้น ดังขึ้น พรรคอนาคตใหม่ มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียดายที่เรายังไม่มีอำนาจบริหาร แต่อย่างไรก็ตาม ก็ได้ใช้กลไกของ กมธ.ทำการศึกษา โดยเฉพาะที่เราได้เสนอญัตติให้ สภาผู้แทนราษฎรตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบจาก ม.44 และประกาศคำสั่ง คสช. ซึ่งน่าเสียดาย แม้ว่าเราจะชนะจนจะได้ตั้ง กมธ. อยู่แล้ว แต่ ส.ส.พรรคฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ใช้กลไกพลิกแพลงโหวตใหม่จนไม่มีการตั้ง กมธ.วิสามัญ ดังนั้น ผมคิดว่า ประชาชนต้องออกมาส่งเสียงให้ดังขึ้นอีก ให้ ส.ส.ที่ไม่ฟังเสียงประชาชนเหล่านี้ได้ยิน ทำให้เขารู้ว่า อำนาจที่พี่น้องประชาชนมอบให้กับเขาไปนั้น เขาต้องใช้ทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อใช้รักษาความมั่นคงหรือสืบทอดอำนาจให้กับใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง" นายอภิชาติ กล่าว
          
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม กมธ.สามัญ สภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะชุดที่พรรคอนาคตใหม่เป็นประธาน นั่นคือ กมธ.การที่ดินฯ ซึ่งมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นประธาน และตนเองเป็นรองประธาน  รวมถึง กรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นประธาน จะเข้ามาศึกษาและทำข้อเสนอในเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน พรรคอนาคตใหม่เองก็จะลงพื้นที่รับฟังปัญหาเกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าถึงพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้น และทำนโยบายออกมาให้ให้ตอบสนองความต้องการพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
 

หน้าแรก » การเมือง