วันพฤหัสบดี ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567 14:44 น.

การเมือง

"พิพัฒน์"กำชับหน่วยงานในสังกัดเฝ้าระวังนักท่องเที่ยวสุ่มเสี่ยงไวรัสโคโรนา

วันอาทิตย์ ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563, 18.31 น.

"พิพัฒน์"จัดมาตรการเข้ม ! กำชับหน่วยงานในสังกัดเฝ้าระวังนักท่องเที่ยวสุ่มเสี่ยงไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2563  เวลา 13.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมประชุมมาตรการ การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม โดยในวันนี้มี 3 หน่วยงานหลักเข้าร่วมประชุม ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม 

 
ทั้งนี้ รมว.พิพัฒน์ ได้รายงานถึงมาตรการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่าได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. เจ้าหน้าที่ศูนย์ TAC ที่ประจำอยู่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และตามจุดต่างๆ 2. กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3. กรมการท่องเที่ยว และ 4. สมาคมมัคคุเทศก์ ซึ่งได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ช่วยกันสังเกตอาการนักท่องเที่ยว หากพบว่ามีอาการให้ประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุข หรือโรงพยาบาล หรือสามารถแจ้งไปยังสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 1155 เพื่อส่งต่อนักท่องเที่ยวที่มีอาการสุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจและรักษาต่อไป และได้มอบหมายให้กรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประสานไปยังโรงแรม บริษัทนำเที่ยว และผู้ประกอบการต่างๆ ช่วยกันประชาสัมพันธ์ถึงการปฏิบัติตัว เฝ้าระวังและการป้องกันให้กับนักท่องเที่ยว

นายอนุทิน  กล่าวว่า ได้ขอให้ทุกกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงความสำคัญในการช่วยกันสกัดกั้นไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่ระบาด โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หากรู้สึกว่ามีอาการป่วยให้รีบมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที  รวมถึงการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งคัด เช่นการสังเกตคนรอบข้างหากมีอาการ แนะให้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล
          
สำหรับมาตรการควบคุมโรคใน 5 สนามบินหลัก เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่และหาดใหญ่ มีการตรวจคนเข้าประเทศสะสมมาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม ถึงปัจจุบัน ทั้งหมด 21,522 ราย ซึ่งได้มีการแจกการ์ดคำแนะนำในเรื่องการดูแลสุขภาพให้กับผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางเข้าเมืองให้ปฎิบัติตามคำแนะนำมาโดยตลอด รวมถึงได้มีการเชิญแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเชื้อไวรัสดังกล่าว มาติดตามสถานการณ์ จึงทำให้มั่นใจว่า ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนโอกาสที่เชื้อไวรัสจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่มาตรการคัดกรอง คัดแยกผู้ป่วย แต่ขณะนี้จุดคัดกรองมีความพร้อมเต็ม 100 จึงขอประชาชนอย่าวิตกกังวล แต่หากเชื้อไวรัสมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นกระทรวงสาธารณสุขก็พร้อมใช้มาตรการรุนแรงทันที เพราะเห็นความสำคัญของสุขภาพประชาชนเป็นอันดับแรก
          
ส่วนเรื่องการทำงานเป็นระดับชาติ ที่กล่าวไว้ช่วงต้นประชุม ก็เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่เคยมีคำสั่งไว้กับคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2557 เรื่องการควบคุมโรคระบาดสายพันธ์ุใหม่ การทำงานคณะรัฐมนตรีชุดนี้จึงเป็นไปตามนั้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามวันอังคารที่ 28 ม.ค.นี้ จะรายงานเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อให้เป็นข้อมูลอัพเดตหรืออาจรับข้อมูลเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงในคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าแต่การทำงานทุกอย่างก็ไม่จำเป็นตองรอนายกรัฐมนตรีสั่งเพียงคนเดียว  ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศจะจัด การประชุม คณะทำงานศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน เพื่อเตรียมแผนเผชิญเหตุเพื่อช่วยเหลือคนไทยในจีนกระทรวงสาธารณสุขก็จะเข้าร่วมการประชุมด้วย
          
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายกรมควบคุมโรคจัดแถลงข่าวเพื่อเป็นข้อมูลอัพเดทให้ประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์ความเป็นจริง โดยอย่าหลงเชื่อข่าวที่แชร์มาจากโซเชียลเพราะอาจทำให้เกิดความตื่นตระหนกมากกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
          
สำหรับข้อมูลการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวในประเทศไทยเบื้องต้นพบ 8 รายซึ่งได้รับเชื้อขณะพักอยู่ต่างประเทศ  โดยได้ทำการรักษาและส่งตัวกลับบ้านไปแล้ว 5 ราย และอีก 3 ราย ยังคงรักษาอยู่รพ.สักกัดของกระทรวงสาธารณสุข

"บัวแก้ว"เตรียมถกฉุกเฉินส่ง C-130 อพยพคนไทยในอู่ฮั่น

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (27ม.ค.) เวลาประมาณ 15.00 น. กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะสายการบินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งฝ่ายความมั่นคงมาร่วมประชุมหารือในกรอบคณะทำงานศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน (Rapid Response Center - RRC) เพื่อหารือถึงแผนการเผชิญเหตุในการอพยพคนไทยออกจากเมืองอู่ฮั่นจากกรณีเชื้อไวรัสโคโรน่าระบาดหนักหากสถาการณ์มีความรุนแรง โดยในการประชุมจะมีการเชิญผู้แทนของสถานเอกอัครราชทูตไทย และสถานกงสุลใหญ่ที่ประจำอยู่ทุกแห่งในประเทศจีนร่วมประชุมโดยผ่านระบบการสื่อสารผ่านทางไกลหรือเทเลคอนเฟอร์เรนซ์ด้วย เพื่อสอบถามสถาการณ์ภาพรวมของโรคและจำนวนคนไทยที่อาศัยอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น
          
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นระบุว่ามีคนไทยอาศัยอยู่ที่เมืองอู่ฮั่นไม่ถึง 100 คน โดยหากคณะทำงานประชุมและสรุปผลว่าสถานการณ์ของโรคในเมืองอู่ฮั่นมีความรุนแรงรัฐบาลไทยอาจจะมอบหมายให้กองทัพนำใช้เครื่องบินทหาร ซี-130 บินเข้าไปรับคนไทยในอู่ฮั่นกลับประเทศไทยทันที เนื่องจากขณะนี้การบินไทยซึ่งเป็นสายการบินพาณิชย์ไม่สามารถทำการบินได้ เพราะรัฐบาลจีนได้สั่งปิดสนามบินอู่ฮั่น

นักศึกษาจากกวางสี ที่จ.ศรีสะเกษ ไม่เข้าข่ายผู้ป่วยเฝ้าระวังเชื้อไวรัสโคโรนา

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่มีข่าวพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ ได้รับรายงานจากผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 10 ผู้ป่วยรายนี้เป็นนักศึกษาเดินทางมาจากประเทศจีน มณฑลกวางสี เมืองกุ้ยหลิน เข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 เริ่มป่วยวันที่ 25 มกราคม 2563 มีอาการหอบ เหนื่อย มีน้ำมูก มีไข้สูงๆ ต่ำๆ จึงได้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลชุมชนและถูกส่งตัวมารักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัด
          
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ เริ่มป่วยหลังเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงได้ 16 วัน ซึ่งพ้นจากระยะฟักตัวของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แล้ว แต่เนื่องจากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวคือโรคหอบหืด และเพื่อลดความวิตกกังวลของญาติ จึงได้รับตัวไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล ขณะนี้อาการดีขึ้น ให้การรักษาตามอาการ โดยแพทย์ผู้รักษาได้ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเฝ้าระวังลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ดูแลจนแน่ใจว่าปลอดภัยดี

หน้าแรก » การเมือง