วันที่ 26 พ.ค.2563 2563  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ออกไปอีก 1 เดือน หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 30 มิ.ย.2563 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)นัวนนี้(26พ.ค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ออกไปอีก 1 เดือน หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 30 มิ.ย.63

โดยในวันพรุ่งนี้ (27 พ.ค.) คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มี พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธาน จะประชุมเพื่อพิจารณาผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมระยะที่ 3
          
รวมถึงการลดระยะเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) จากเดิม 23.00 น. 04.00 น. คาดว่าจะลดลงเป็น 24.00 น. 04.00 น. และเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน ในฐานะผู้อำนวยการศบค. ในวันที่ 29 พ.ค.เห็นชอบ และ ประกาศไกด์ไลน์กิจการและกิจกรรมระยะที่ 3 ในวันที่ 30 พ.ค. ก่อนจะประกาศเริ่มผ่อนคลายระยะที่ 3 ในวันที่ 1 มิ.ย.ทันที

ขณะที่ความสำคัญการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชี้แจงว่า เป็นเพราะ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มีอำนาจดึงหน่วยงานต่าง ๆ มาบูรณาการการทำงานร่วมกันได้ และยังสามารถรวมกฎหมายที่แต่ก่อนกระจายกันใช้ตามกระทรวงต่าง ๆ ให้มารวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ศบค. ได้ และตั้งคณะทำงานชุดต่างๆ มาแก้ปัญหาและช่วยประชาชนให้ทันต่อเหตุการณ์ แสดงให้เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถรวมศูนย์อำนาจเข้ามาจนช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นกว่าการใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่มีปัญหาเรื่องการประสานงานต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป