วันเสาร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567 11:53 น.

การเมือง

"ศุภชัย"แจงปมครอบครองที่ดินป่าดงพะทายนครพนม ยันยื่นแจงทรัพย์สิน ป.ป.ช.ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

วันพฤหัสบดี ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2564, 18.05 น.

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564  เวลา 14.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่คณะ กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการพิจารณาของคณะ กมธ. กรณีการถือครองที่ดินดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ของตน ซึ่งจากการที่ได้รับฟังถ้อยแถลงของคณะ กมธ. แล้ว พบว่าคณะ กมธ. ได้นำความจริงเพียงบางส่วนมาแถลงให้สื่อมวลชนได้รับทราบเท่านั้น ตนจึงวิตกกังวลว่าหากสื่อมวลชนได้รับทราบข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อตนได้ จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า การครอบครองที่ดินดังกล่าวนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านเคยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางตนแล้วเมื่อปี 2554 และฝ่ายค้านในขณะนั้นได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วแต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น 

ทั้งนี้ การจัดที่ดินดงพะทายนั้น คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ได้มีมติให้นำมาจัดสรรให้กับประชาชน ชาวนา ชาวไร่ หรือคนยากจน เมื่อปี 2518 ซึ่งเมื่อนำไปจัดสรรเป็นแปลงเล็ก ๆ และประกาศให้ประชาชนใน จ.นครพนม จับสลากเพื่อจองเป็นเจ้าของ โดยเมื่อจัดสรรเรียบร้อยแล้วคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติก็ได้มอบใบจองให้กับประชาชน และมอบภารกิจในการพัฒนาที่ดินแปลงนี้ให้กับสำนักงานที่ดิน จ.นครพนม และกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการต่อ โดยที่ดินดงพะทายนั้น เป็นพื้นที่ผืนใหญ่และเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ได้เป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ได้เป็นที่สงวนสำหรับราชการ ไม่ได้เป็นป่าเสื่อมโทรม และไม่ใช่ที่สาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน 

โดยเมื่อที่ดินดงพะทายที่นำมาจัดให้กับประชาชนนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และต่อมาราษฎรที่ได้รับการจัดที่ดินไม่ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ โดยนำมาขายให้กับตนหรือขายให้บุคคลอื่นก่อน และต่อมาตกมายังตน ที่ดินนั้นก็ยังเป็นที่ดินประเภทที่รกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) ตนซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์จึงสามารถนำมาขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1334 และเนื่องจากเป็นที่ดินที่ถือว่าผู้ครอบครองได้ครอบครองและทำประโยชน์ภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินบังคับใช้ ซึ่งสามารถนำที่ดินมานำเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินได้ตามมาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (3) และตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการจัดสรรที่ดินแล้วทั้งสิ้น 1,492 แปลง ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปอยู่อาศัย เข้าไปทำประโยชน์ และสามารถนำไปออกเป็น นส.3 ก. ได้แล้ว 32 แปลง ออกเป็นโฉนด 30 แปลง คงเหลือเป็นใบจอง 1,430 แปลง 

สำหรับการเข้าครอบครองที่ดินของตนนั้น เมื่อปี 2530 ตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่ โรงเรียนบ้านท่าหนามแก้ว ต.พะทาย ซี่งปัจจุบันเรียกว่า ต.หนองเทา และแม้ว่าตนจะมีอาชีพเป็นครู แต่อาชีพหลักดั้งเดิมตั้งแต่บรรพบุรุษคืออาชีพเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ และเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวเหมาะแก่การเกษตรจึงชักชวนชาวบ้านปลูกอ้อย และไปขอเช่าสิทธิจากชาวบ้านที่ครอบครองอยู่แล้วทำการปลูกอ้อยประมาณกว่า 1,000 ไร่ จนกระทั่งปี 2532 ชาวบ้านที่ให้สิทธิเช่ามีความเดือดร้อนด้านเศรษฐกิจจึงขอยืมเงินไปและภายหลังไม่สามารถชำระเงินคืนได้จึงได้ขายสิทธิการครอบครองที่ดินให้ ตนจึงได้ซื้อสิทธิการครอบครองที่ดินผืนนี้ไว้ จากนั้นตนได้ทำไร่อ้อยมาเกือบ 10 ปี และปลูกมันสำปะหลัง รวมทั้งยูคาลิปตัสด้วย 

อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำว่าเมื่อปี 2530 ที่ตนเป็นครูใหญ่นั้น ยังไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ และไม่มีความคิดที่จะมาทำงานด้านการเมือง จนเมื่อปี 2544 ตนจึงสมัคร ส.ส. และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ครั้งแรก ซึ่งในปีนั้น ตนไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินในที่ดินผืนนี้ต่อ ป.ป.ช. เนื่องจากยังมีความสงสัยในสิทธิที่ดินอยู่ จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 2 และได้นำเรื่องที่ดินนี้หารือกับเจ้าหน้าที่และฝ่ายกฎหมายของกรมที่ดินว่า ที่ดินจัดสรรที่ได้ซื้อสิทธิการครอบครองทำประโยชน์นี้ ตนมีสิทธิเป็นเจ้าของหรือไม่ ซึ่งทางกรมที่ดิน ได้นำเอกสารหลักฐานมายืนยันว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ใช่ป่าสงวน ไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรมแต่นำมาจัดสรรให้ชาวบ้าน หากชาวบ้านไม่เข้ามาดำเนินการภายใน 6 เดือน เจ้าหน้าที่จะทำการเตือน แต่หากไม่เข้ามาดำเนินการภายใน 3 ปี จะถือว่าสละสิทธิในที่ดิน และที่ดินนี้ก็จะกลับไปเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งหากผู้ใดครอบครองอยู่ก็มีสิทธินำเจ้าหน้าที่เดินสำรวจออกโฉนดเป็นชื่อของตนเองได้ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตนครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนี้มาเป็นเวลานาน จึงจำเป็นต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. มิฉะนั้นจะถือว่าปกปิดทรัพย์สินและมีความผิด ดังนั้น ตนจึงได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เนื่องจากได้รับประโยชน์จากที่ดินแปลงดังกล่าวและมีสิทธิในการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย 

หน้าแรก » การเมือง