วันพฤหัสบดี ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567 22:48 น.

การเมือง

“อนุทิน”ยังไม่รู้โฆษก ภท.ค้านตั้ง ศบค.ส่วนหน้าคุมโควิด 4 จว.ใต้

วันจันทร์ ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564, 13.49 น.

“อนุทิน” มอบนโยบาย สธ.ปี 65 เตรียมพร้อมเปิดประเทศฟื้นเศรษฐกิจ รับลูกนายกฯ ตั้ง ศบค.ส่วนหน้าคุมโควิด 4 จว.ใต้ ยันบูรณางาน ยังไม่รู้โฆษก ภท.ค้าน สลับกันดูแลกรมในสธ.กับ"สาธิต"หลังครบ 2 ปี

วันที่ 18 ตุลาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนนบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารฯ ได้ร่วมในพิธีมอบนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2565 ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริหารของกระทรวง ในพื้นที่ต่างๆ รับทราบนโยบายร่วมกัน 

นายอนุทิน กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ตนและกระทรวงสาธารณสุข ต้องเจอความท้าทายมาโดยตลอด ทั้งฝุ่น PM 2.5 น้ำท่วม และวิกฤตโควิด 19 ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การสาธารณสุขไทยประสบความสำเร็จ คือ พลังของคนสาธารณสุขที่ร่วมกันทำงานทั้งระดับนโยบาย หน่วยงาน จังหวัด และพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือ จากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกภาคส่วน รวมถึง อสม. ที่ทุ่มเททำงานหนัก

แน่นอนว่า ฝ่ายผู้บริหาร เห็นความมุ่งมั่นและหาทางตอบแทนคนทำงาน เราได้ขับเคลื่อนการบรรจุข้าราชการใหม่ในสังกัด 45,242 ตำแหน่ง และได้ให้ค่าตอบแทนเงินเพิ่มพิเศษ 7 เดือน แก่ อสม. และพยายามจะผลักดัน ให้มีการจ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2565 คือ ต้องอยู่กับโควิด 19 อย่างปลอดภัย และเศรษฐกิจ ก็ต้องไปต่อได้ด้วย 

ทั้งนี้ ขอให้บุคลากรทุกคนยึดมั่นแนวนโยบายของรัฐบาลและการสนองโครงการพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ทุกพระองค์เป็นภารกิจลำดับแรก การขับเคลื่อนระบบสุขภาพ ขอให้ยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์ “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง ประเทศ ไทยแข็งแรง” มี 9 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

1.การใช้มาตรการสาธารณสุขขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยทุกมิติ เพื่อเตรียมการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยยึดความปลอดภัยของคนไทยเป็นสำคัญ 2.พัฒนาศักยภาพสถานพยาบาลของรัฐให้รองรับสถานการณ์วิกฤตโรคระบาด โรคอุบัติใหม่ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ 

3.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพการแพทย์ปฐมภูมิทั้งเขตชุมชนและเขตเมือง วางเป้าจัดตั้งหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ 3,000 ทีม จังหวัดละ 1 อำเภอ และสนับสนุนให้คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัวครบ 3 คน30 ล้านคน 

4.พัฒนาและเสริมศักยภาพ รพ.สต.เป็นศูนย์การสาธารณสุขประจำตำบล ให้บริการส่งเสริม ป้องกันรักษา ฟื้นฟู และคุ้มครองผู้บริโภค 5.บูรณาการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบองค์รวมครบด้าน ทั้งสมอง จิตใจ ฟัน ตาหู และหัวใจ

6.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพงานบริการ ด้วยการต่อยอด 30 บาทรักษาทุกที่ เข้ารับบริการโดยไม่ต้อง มีใบส่งตัว เพื่ออ่านวยความสะดวก ลดความยุ่งยากด้านเอกสารและรายจ่ายของประชาชน 7.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพการรักษามะเร็งทุกที่ ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษา 

8.พัฒนาพืชสมุนไพร กัญชา กัญชง กระท่อมและภูมิปัญญาไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้แก่ประชาชน และ 9.พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เป็นศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพประชาชน เพื่อเข้าถึงบริการสาธาณสุขส่วนบุคคลอย่างรวดเร็ว

“ตลอดขวบปีที่ผ่านมา เราสู้รบกับโควิด 19 ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัส มีแรงเสียดทานต่างๆ เข้ามา แต่เราสามารถตั้งสติ มุ่งมั่น ตั้งใจ และสามารถฝ่าวิกฤติไปได้ ในปีหน้า ประเทศไทย ต้องสามารถอยู่กับโรคให้ได้ และต้องอยู่อย่างปลอดภัย รัฐบาลจะต้องเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ ประชาชน จะต้องกลับมาใช้ชีวิตได้ ทำมาหากินได้  ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเป็นหน่วยงานสำคัญในการผลักดันให้เกิดขึ้น ที่ผ่านมา เรามีการเตรียมพร้อมทั้งระบบการดูแลผู้ป่วย เวชภัณฑ์ วัคซีน  ปีหน้าจะเร่งเติมเข็ม Booster ให้ได้ครอบคลุมที่สุด ก็หวังว่า ความทุ่มเทของเรา จะทำให้ประเทศไทยฟื้นตัว และยืนได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้ง ต้องฝากพี่น้องชาวสาธารณสุข ร่วมแรงร่วมใจ และขอขอบคุณอย่างยิ่งกับความพยายามที่ผ่านมา” 

รับลูกนายกฯ ตั้ง ศบค.ส่วนหน้าคุมโควิด 4 จว.ใต้ ยันบูรณางาน ยังไม่รู้โฆษก ภท.ค้าน

นายอนุทิน  ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีจัดตั้งชุดทำงานเพื่อดูแลสถานการณ์โรคโควิด-19 ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา เป็นพิเศษ ว่าไม่ได้ตั้งเป็นพิเศษ แต่เป็น ศบค.ส่วนหน้า เพื่อบูรณาการความร่วมมือต่างๆ ด้านการสาธารณสุข ไม่ต้องห่วง มีความพร้อม ซึ่งการตั้งชุดทำงานก็เพื่อขอความร่วมมือด้านความมั่นคง เฝ้าระวังคนเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นความเสี่ยงนำเชื้อภายนอกเข้าประเทศ
          
“สถานการณ์โควิด-19 ใน 4 จังหวัดใต้ ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและปลัด สธ.ได้ลงพื้นที่ไป ก็เห็นความพร้อม และความสามารถในการให้บริการผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่มีความเพียงพอทั้งเวชภัณฑ์ ยา ทางส่วนกลางก็พร้อมสนับสนุน โดยภายในเดือนตุลาคมนี้จะต้องฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายให้ครบ โดยกรมควบคุมโรคจะจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ไปให้อีก 4.8 แสนโดส ก็จะครบ 1 ล้านโดส ก็จะมั่นใจได้ว่าประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น สถานการณ์ก็จะดีขึ้น เหมือนที่เกิดในกรุงเทพมหานคร ณ ปัจจุบัน และเราก็จะกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศด้วย” นายอนุทินกล่าว
          
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มี ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกมาให้ความคิดเห็นถึงประเด็นดังกล่าวว่าเป็นการทหารนำการแพทย์ นายอนุทินกล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อมูลว่าใครพูดถึงประเด็นดังกล่าว เพราะช่วงเช้ารีบไปร่วมรับวัคซีนบริจาคจากทางการเกาหลีใต้ และเข้าประชุมมอบนโยบาย ส่วนตัวมองว่าการช่วยกันทำงาน เป็นสิ่งที่ดี ทุกคนหวังดี ปรารถนาต่อบ้านเมือง การมีประกาศใดขึ้นมาล้วนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจตัวเอง
          
“ชัดเจนว่าใครดูแลประชาชนด้านไหน กฎหมายแต่ละฉบับอยู่ที่ใคร ในประกาศ ศบค.ส่วนหน้า 4 จังหวัดชายแดนใต้ มีความชัดเจนว่าขอให้มีความร่วมมือบูรณาการเป็นหลัก องค์ประกอบก็ดูดี มีแม่ทัพภาคที่ 4 มีผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ก็ค่อนข้างบูรณาการกัน
          
“สิ่งที่ สธ.จะต้องดูก็ชัดเจน เรื่องสุขภาพก็ขอให้เป็นหน้าที่ของ สธ. แต่เรื่องการควบคุมไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมือง ควบคุมพื้นที่ให้ปลอดภัยสูงสุด เราจำเป็นต้องพึ่งพาฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี” นายอนุทินกล่าว
          
นายอนุทินกล่าวต่อไปว่า กฎหมายทุกฉบับจากนายกรัฐมนตรีที่คืนให้รัฐมนตรีว่าการแต่ละกระทรวง การปฏิบัติก็ทำตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอยู่แล้ว ก็พร้อมให้ความร่วมมือทุกฝ่าย เพื่อสิ่งที่ดีของประชาชนอยู่แล้ว

สลับกันดูแลกรมในสธ.กับ"สาธิต"หลังครบ 2 ปี

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีการปรับเปลี่ยนงานในกำกับดูแลบ้าง เพื่อให้มีประสบการณ์ทุกๆ กรม ไม่มีเหตุผลอื่น แต่เพราะ 2 ปีแรกเราดูกรมนี้ อีก 2 ปีหลังดูกรมหนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่ารัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วย ก็ต้องดูแลงานซึมซับงานในกำกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างเต็มที่
          
ด้าน นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนตัวมีความสุข และพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐมนตรีในการปฏิบัติหน้าที่ แม้จะมีอุปสรรคบ้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพิ่มเติมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคือ การดูแลงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การสนับสนุนระบบบริการสุขภาพ การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก วิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมถึงการกำกับดูแลด้านอาหารและยา ถือเป็นความไว้วางใจที่รองนายกรัฐมนตรี ได้ปรับเปลี่ยนกรม หน่วยงานที่ดูแลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเพิ่มเติม และสลับการดูแล เป็นการเพิ่มประสบการณ์

หน้าแรก » การเมือง