วันศุกร์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567 04:34 น.

การเมือง

แห่บี้ "ธปท.-สมาคมธนาคาร" แจงเพิ่มปมแอพฯดูดเงิน

วันอังคาร ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564, 10.43 น.

“กัลยา” เผย กมธ.ดีอีเอส เตรียมเชิญ “ส.ธนาคารฯ-ธปท.” แจ้งกรณีปชช.โดนแอปฯดูดเงิน ชี้ ต้องอุดช่องโหว่ให้ได้ “เศรษฐพงค์” แนะ รวบหน่วยงานแก้โกงดูดเงินบัตรเครดิต ระบุ ลดทอนความเดือดร้อนปชช.โดยเร็วสำคัญที่สุด  ขณะที่ ศ.ดร.กนก บี้ ธปท.-สมาคมธนาคาร แจงเพิ่ม ปมแอพฯ ดูดเงิน ตั้งสองคำถาม ระบบตรวจจับความผิดปกติได้หรือไม่-ทำไมไม่มีการแจ้งเตือนลูกค้า แนะ เร่งบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปกป้องประชาชน ไม่ใช่คำนึงถึงแต่เอกชน หลังเจอโรคเลื่อนมาแล้วสามครั้ง

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(กมธ.ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณีมีประชาชนหลายรายเจอปัญหาจากแอพฯ ที่มีการผูกกับบัญชีธนาคาร บัตรเครดิตและบัตรเดบิต ที่พบยอดเงินถูกหักโดยไม่ทราบสาเหตุ ว่า ในสัปดาห์นี้ตนจะนำประเด็นดังกล่าวหารือในที่ประชุมกมธ. เพื่อขออนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สมาคมธนาคารไทย  และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงรายละเอียด ในการประชุมครั้งถัดไป เพื่อต้องการมราบว่าตามระเบียบหรือกฎที่เกี่ยวข้องสามารถปกป้องหรืออุดช่องว่างไม่ให้ประชาชนถูกเอาเปรียบหรือถูกหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพได้หรือไม่ และหากมีช่องโหว่จะปรับปรุงกติกาอย่างไรได้บ้างเพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ และในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หากประชาชนยังถูกหลอกด้วยเทคโนโลยีอีกเท่ากับถูกซ้ำเติม

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก รวมถึงกระทบกับประชาชนจำนวนมาก และมีผู้ที่ร้องเรียนให้หน่วยงาน และสื่อมวลชนช่วยตรวจสอบ อย่างไรก็ดีกมธ. ไม่ต้องการให้เกิดการหลอกลวงผ่านเทคโนโลยีขยายวงกว้าง ซึ่งการใช้แอพลิเคชั่นที่ผูกกับบัตรเดบิต หรือ บัตรเครดิต ที่แม้จะสามารถหักเงินจากบัญชีเจ้าของได้โดยตรง แต่ควรมีรายละเอียดที่เจ้าของบัตรต้องอนุมัติก่อน ไม่ใช่ถูกหักไปโดยไม่รู้ตัว”  น.ส.กัลยา กล่าว

ด้านพ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และรองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(กมธ.ดีอีเอส) กล่าวว่า เรื่องทำนองเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าเรามีระบบป้องกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการป้องกันไม่สามารถทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเทคโนโลยีและรูปแบบการโกงจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ซึ่งองค์กรที่ดูแลเงินก็พยายามที่จะพัฒนาระบบป้องกันอยู่ตลอดเช่นกัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วสิ่งสำคัญคือการคืนเงินให้เร็วที่สุดควรพิจารณาเป็นอันดับแรก ต้องลดทอนความเสียหายของประชาชนให้เร็วที่สุด 

รองประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวต่อว่า การร้องเรียนของประชาชนจะต้องทำให้จบได้ในจุดเดียว ต้องมีหน่วยงานที่ชัดเจนในการรับเรื่อง ซึ่งจะต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาทำงานร่วมกัน ไม่ต้องให้ประชาชนวิ่งไปแจ้งตำรวจ แล้วต้องไปธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วต้องไปธนาคารที่มีบัญชี ที่เป็นอย่างนี้เนื่องจากเรายังไม่มีแผนบริหารจัดการปัญหาที่รวบทุกหน่วยงานเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งที่ควารจะเกิดขึ้นคือ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ประชาชนสามารถขึ้นสถานีตำรวจแจ้งความเพียงครั้งเดียวแล้วกลับบ้าน ที่เหลือจะเป็นการจัดการภายในที่ภาครัฐจะประสานข้อมูลกันเอง เมื่อรับแจ้งความแล้วจะใช้เวลากี่ชั่วโมง กี่วันต้องแจ้งให้ประชาชนทราบแล้วต้องทำให้ได้ตามนั้น 

“ปัญหาที่เราแก้ไม่ตกคือ เรามีหน่วยงานเต็มไปหมดที่จะทำเรื่องนี้ แต่ละส่วนทำอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ปล่อยให้ประชาชนเดินเรื่องเอง มันไม่เวิร์ค เราต้องมีกลไกที่จะทำให้เมื่อประชาชนแจ้งว่าถูกหลอกลวงแล้ว ต้องไปหยุดการเอาเงินออกจากบัญชีให้เร็วที่สุด ภายในไม่กี่ชั่วโมงทำได้หรือไม่ แนวทางนี้เหมือนไม้เสียบลูกชิ้น ที่หน่วยงานต่างๆคือลูกชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่ เราต้องเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชนมาเสียบอยู่ในไม้เดียวกัน เช่น กสทช. ก.ดีอีเอส สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการมือถือ แบงค์ชาติ ตำรวจ ปอท. ฯลฯ แล้วทำงานประสานกันเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว

 ศ.ดร.กนก บี้ ธปท.-สมาคมธนาคาร แจงเพิ่ม ปมแอพฯดูดเงิน 

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีประชาชนนับหมื่นคน ต้องสูญเงินเพราแอพฯที่ผูกกับบัญชีธนาคารบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ถูกหักเงินจำนวนน้อยแต่หลายครั้งติดต่อกัน ว่า คำชี้แจงเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคาร ที่ระบุว่า “เบื้องต้นมิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลของธนาคาร แต่เป็นรายการที่เกิดจากการทำธุรกรรมชำระค่าสินค้า และบริการกับร้านค้าออนไลน์ ที่ขดทะเบียนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่แอปดูดเงินตามที่ปรากฏเป็นข่าว” นั้น ยังไม่เพียงพอ แต่มีสองประเด็นหลักที่ควรต้องให้ความชัดเจนกับสังคมด้วยคือ 1 เหตุใดระบบของธนาคารจึงไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติดังกล่าวได้ ทำไมต้องรอจนเป็นข่าวแล้ว จึงค่อยมีการระงับการใช้บัตรของลูกค้าที่มีรายการผิดปกติ 2 หากระบบตรวจจับความผิดปกติได้ ทำไมไม่มีการแจ้งเตือนไปยังลูกค้า เมื่อพบความผิดปกติ

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า สองประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญพื้นฐาน ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เห็นปัญหาอยู่ตลอดเรื่องข้อครหาว่ามีการขายข้อมูล หรือนำข้อมูลไปใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจโดยที่ประชาชนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นบทสะท้อนว่า ควรต้องเร่งบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้ได้โดยเร็ว เพราะกฎหมายนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2562 มีผลบังคับใช้ 27 พฤษภาคม 2563 แต่รัฐบาลประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไปเป็นวันที่ 27 พฤษภาคมปีนี้ ต่อมาก็ขยายเวลาบังคับใช้ออกไปอีกเป็นวันที่ 1 มิถุนายน ปีหน้า โดยให้เหตุผลว่าภาคเอกชนยังไม่มีความพร้อม มีคำถามว่าแล้วใครคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่ถูกละเมิดตลอดเวลา

“ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้น หากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีผลบังคับใช้ ธนาคารจะมีหน้าที่ในการแจ้งเตือนธุรกรรมผิดปกติกับลูกค้า โดยที่ลูกค้าไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมรายปี เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และยังช่วยเตือนภัยให้ประชาชน รวมถึงสกัดปัญหาได้ทันท่วงทีด้วย ยิ่งกฎหมายมีผลใช้บังคับช้าเท่าไหร่ ประชาชนก็เสียประโยชน์มากเท่านั้น” ศ.ดร.กนก กล่าว
 

หน้าแรก » การเมือง