วันเสาร์ ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 17:01 น.

การเมือง

"ปลอดประสพ" เตือนสติรัฐอย่าใช้กฎหมายแรงกับพระเสพเมถุน ย้ำหลักธรรมไม่ควรถูกสั่นคลอนเพราะบุคคล

วันศุกร์ ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 21.11 น.

อดีตรองนายกฯ ตั้งคำถามการผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองพุทธศาสนา ที่อาจนำไปสู่การจำคุกพระภิกษุ เตือนสังคมอย่าเหมารวมศาสนากับความผิดเฉพาะบุคคล 

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568   ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก "ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี" ความว่า  จะลงโทษยังไงดีเรื่องพระเสพเมถุน 

ผมน่ะหวาดเสียวเหลือเกินเมื่อได้ยินรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักพระพุทธศาสนให้สัมภาษณ์ว่า มีข้อเสนอจะตรากฎหมายใหม่ที่เรียกว่า พรบ. คุ้มครองพระพุทธศาสนาและจะมีบทลงโทษจำคุกพระสงฆ์ที่ต้องปาราชิกเพราะเสพเมถุน มันไม่เกินไปหรือครับ คิดให้ดีพระสงฆ์ไม่ใช่อาชญากรและในสมัยพุทธกาลโทษภิกษุที่ร่วมเสพกามเมถุนก็แค่ต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุเท่านั้น
     
ผมอยากให้สติกับพุทธศาสนิกชนทั้งหลายก่อนที่จะโมโหฉุนเฉียวว่า ท่านต้องแยกบุคคลคือพระกับหลักธรรม พระทำผิด แต่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ายังถูกต้องเสมอ พระองค์ท่านสอนให้เชื่อและศรัทธาใน“ ธรรมและวินัย” ไม่ได้สอนให้เชื่อและลุ่มหลงในบุคคลคือตัวพระ อย่างที่พวกเราชอบปฏิบัติกันอยู่
     
ในอนาคต ผมคิดว่า ต้องหาทางไม่ให้พระไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดสัมผัสเงินโดยเฉพาะเงินที่เป็นของวัด ส่วนเงินที่พระสงฆ์ได้รับจากการถวายเฉพาะตนก็ต้องเปิดบัญชีพิเศษให้สามารถตรวจสอบได้ จำกัดการใช้แต่เพียงประทังชีวิตในฐานะพระ และเมื่อสึกแล้วต้องถูกทบทวนอีกครั้งว่า จะคืนให้ไปเท่าใดเพื่อการครองชีวิตอย่างสามัญ สำหรับที่ประพฤติผิดเพราะฉ้อโกงเงินของวัดนั้นก็ต้องถูกลงโทษไปตามกบิลเมือง ไม่มียกเว้น
     
ขอจบด้วยการเตือนสื่อมวลชนที่ทำข่าว อ่านข่าว มีการแสดงภาพหวาดเสียว  ท่านอ่านไปทำมือ ทำปากประหนึ่งอินเสียเหลือเกิน ขอเตือนว่า ท่านกำลังทำลายความเชื่อถือต่อพระพุทธศาสนานะครับ นักข่าวหญิงบางคนบุกไปตามกุฎิพระดื้อๆ ทั้งๆ ที่เขามีป้ายห้ามสตรีเข้า ที่แย่มากๆก็คือ มีรายการที่นำสีกากอล์ฟมาออกอากาศ  คำถามและคำตอบมันเป็นเรื่อง“ ร่วมประเวณี” กันทั้งนั้น สังคมไทยจะเอากันอย่างนี้หรือครับ มันไม่สวยงามเลย หยุดทำเถิดครับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามวิกฤตศรัทธาในพระพุทธศาสนาไทยภายใต้ปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “สีกากับผ้าเหลือง” ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของความเชื่อในตัวบุคคลผู้ถือสมณเพศ มากกว่าการยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า บทวิเคราะห์นี้อิงจากการเสวนาวิชาการที่จัดโดยภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีทั้งนักวิชาการและพระสงฆ์ร่วมแสดงความเห็นถึงโครงสร้างและปัญหาของศาสนาบุคคล แนวทางทางพระธรรม และบทบาทของรัฐในการจัดการปัญหา ผ่านมุมมองเชิงปรัชญา สังคม และจริยธรรมทางศาสนา

1. บทนำ
“สีกากับผ้าเหลือง” เป็นคำเปรียบเปรยที่สะท้อนกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไม่เหมาะสมระหว่างพระภิกษุกับสตรี ซึ่งสร้างความสั่นคลอนต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อบุคคลที่ตกเป็นข่าวเป็นพระที่มีชื่อเสียง เป็นที่เคารพของสาธารณชน กรณีเช่นนี้มักก่อให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” หรือ “Faith Crisis” ซึ่งเป็นภาวะที่ความเชื่อมั่นต่อศาสนาถูกตั้งคำถาม ไม่ใช่เพราะหลักธรรมคำสอนไม่สมบูรณ์ แต่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติธรรมที่เบี่ยงเบนจากกรอบแห่งพรหมจรรย์

2. วิกฤตศรัทธากับโครงสร้างของศาสนาบุคคล
รศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านศาสนา เสนอแนวคิด “พุทธราชาเทวรัฐ” เพื่ออธิบายโครงสร้างแบบพึ่งอำนาจรัฐและชนชั้นนำที่ครอบงำวงการสงฆ์ไทย เป็นระบบที่ส่งเสริมการควบคุมศาสนาโดยรัฐ มากกว่าจะพัฒนาศาสนาให้เป็นพลวัตทางจิตวิญญาณของประชาชน

การเน้นความศรัทธาในตัวบุคคลมากกว่าพระธรรม นำไปสู่การ “บูชานักบวช” มากกว่า “บูชาธรรม” เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของนักบวช จึงเกิดผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจของพุทธศาสนิกชน

3. แนวทางพระพุทธเจ้าในการจัดการพฤติกรรมเบี่ยงเบน
ในสมัยพุทธกาล เมื่อมีกรณีพระภิกษุประพฤติผิด พระพุทธเจ้าทรงใช้กลไกการ “เรียกประชุมสงฆ์” และมีการบัญญัติ สิกขาบท หรือบทฝึกหัดเพื่อขัดเกลากิเลส โดยมีการระบุโทษไว้อย่างชัดเจน (เช่น อาบัติปาราชิก สำหรับความผิดทางเพศ)

พระองค์ตรัสว่า “ผู้หญิงกับเงินทองเป็นมลทินของพรหมจรรย์” และเน้นให้ภิกษุดำรงตนอย่างมีสติเมื่ออยู่ใกล้สตรี โดยมีหลัก 3 ขั้น คือ ไม่มอง – ไม่พูด – หรือถ้าจำเป็นต้องพูด ควรพูดอย่างมีสติ

4. วัฏฏะ 3 : การทำความเข้าใจเหตุแห่งปัญหา
การที่นักบวชบางรูปยังพลาดพลั้งในการรักษาศีลพรหมจรรย์ มาจากเหตุปัจจัยของ “วัฏฏะ 3” ได้แก่

กิเลส: ความหลงในรูป เสียง กลิ่น รส

กรรม: การกระทำที่เป็นไปตามแรงผลักของกิเลส

วิบาก: ผลที่เกิดจากกรรมนั้น

หากชาวพุทธฝากศรัทธาไว้กับพระธรรม มากกว่าตัวบุคคล ย่อมเห็นปัญหาเหล่านี้ในแง่ของ “ความจริงแห่งชีวิต” มากกว่าอารมณ์ผิดหวังทางศรัทธา

5. ศาสนจักรยังไม่พร้อมปฏิรูป – บทบาทของรัฐในการกำกับ
แม้ปัญหานี้ควรได้รับการจัดการโดยคณะสงฆ์ตามหลักธรรมวินัย แต่จากความไม่พร้อมของโครงสร้างปกครองภายใน ทำให้การอาศัย “ยาแรงทางกฎหมาย” เช่น การฟ้องร้องทางศาล การสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ กลายเป็นสิ่งจำเป็นในระยะเร่งด่วน

ในมุมหนึ่ง นี่คือการประคับประคองศาสนจักรไม่ให้ถูกกลืนโดยอำนาจนิยมหรือความเสื่อมของศรัทธา ซึ่งควรเป็นภารกิจของ “พุทธชน” ทุกระดับ รวมถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

6. บทสรุป
กรณี “สีกากับผ้าเหลือง” ไม่ใช่เพียงเหตุอื้อฉาวรายบุคคล แต่เป็นเครื่องชี้วัดความเปราะบางของโครงสร้างความศรัทธาแบบฝากไว้ที่ “บุคคล” มากกว่าฝากไว้ที่ “ธรรม”

การฟื้นฟูศรัทธาชาวพุทธไทย จึงต้องเริ่มจากการทำให้ประชาชนเข้าใจ “อริยสัจ 4” เป็นจริง เห็นทุกข์ในรูปของความผิดพลาดทางจริยธรรม ไม่ใช่เพียงอารมณ์ผิดหวังทางศีลธรรม พร้อมกับปฏิรูประบบบริหารศาสนาให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดบทบาทของ “นักบวชแบบอุปโลกน์” ที่บวชเพื่อลาภ ยศ และอำนาจ

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง