การเมือง
รสชาติแห่งอำนาจ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยผ่านสัญญะทางโภชนาการและยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการสำรวจและถอดรหัสภูมิทัศน์การเมืองไทยร่วมสมัยผ่านกรอบแนวคิด "การเมืองเรื่องอาหาร" (Food Politics) และ "การทูตวัฒนธรรมอาหาร" (Gastrodiplomacy) โดยใช้อุปมาทัศน์ (Metaphor) ว่าด้วย "รสชาติอาหารไทย" ทั้ง 5 รส ได้แก่ หวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด และขม
เพื่ออธิบายอุดมการณ์ ยุทธศาสตร์ และบุคลิกภาพของพรรคการเมืองหลัก ภายใต้บริบทของการผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่นำโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ การศึกษาครั้งนี้เจาะลึกบทบาทของตัวแสดงสำคัญทางการเมือง อาทิ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร, นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกรณ์ จาติกวณิช เพื่อชี้ให้เห็นว่า "รสชาติ" ไม่ได้เป็นเพียงผัสสะทางกายภาพ แต่เป็นเครื่องมือทางวาทกรรมที่สะท้อนพลวัตอำนาจ การต่อรองทางชนชั้น และวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชาติ
1. บทนำ: อาหารในฐานะภาษากายของการเมืองไทย
ในมิติทางสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ร่วมสมัย อาหารได้ก้าวข้ามสถานะของการเป็นเพียงปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพ (Subsistence) ไปสู่การเป็น "วัตถุทางวัฒนธรรมการเมือง" (Political-Cultural Artifact) ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง การบริโภคอาหารไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมทางชีวภาพ แต่เป็นกิจกรรมทางสังคมที่แฝงฝังไว้ด้วยรหัสความหมาย (Codes) ที่บ่งบอกถึงสถานภาพทางชนชั้น อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และที่สำคัญที่สุดคือ "จุดยืนทางการเมือง" ในบริบทของสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมอาหารที่เข้มข้นและซับซ้อน (Gastronomic Society) การเมืองและอาหารจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก รัฐไทยในแต่ละยุคสมัยได้ใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ (Nation Building) การสร้างอัตลักษณ์ (Identity Construction) และการสร้างความชอบธรรมทางการเมือง (Political Legitimacy) มาโดยตลอด ตั้งแต่ยุค "ผัดไทย" ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของชาวจีนและสร้างความเป็นไทยใหม่ มาจนถึงยุค "ครัวไทยสู่ครัวโลก" (Kitchen of the World) ของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และต่อเนื่องมายังยุค "ซอฟต์พาวเวอร์" (Soft Power) ในปัจจุบันภายใต้การนำของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
การวิเคราะห์การเมืองไทยผ่านเลนส์ของ "รสชาติ" จึงไม่ใช่เรื่องของจินตนาการที่เลื่อนลอย แต่เป็นการใช้อุปมาทัศน์ที่หยั่งรากลึกอยู่ในวิถีชีวิตและภาษาของคนไทย คำศัพท์ทางการเมืองไทยมักยืมคำจากปริมณฑลของอาหารมาใช้เสมอ เช่น "เค็ม" (เขี้ยวลากดิน/ขี้งก), "หวาน" (ประชานิยม/เอาใจ), "เผ็ดร้อน" (ดุเดือด/รุนแรง), "ชืด" (ไร้น้ำยา), หรือ "กลมกล่อม" (ปรองดอง) รายงานฉบับนี้จะขยายความอุปมาเหล่านี้ให้กลายเป็นกรอบวิเคราะห์ทางวิชาการ โดยเชื่อมโยงทฤษฎี Gastrodiplomacy ของ Paul Rockower และ Sam Chapple-Sokol เข้ากับหลักโภชนศาสตร์และปรัชญาธาตุของไทย เพื่อจำแนกแยกแยะ "รสชาติทางการเมือง" ของพรรคการเมืองไทยในปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการเมืองแบบพหุวัฒนธรรม
1.1 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:
-
วิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างอุดมการณ์ของพรรคการเมืองไทยกับปรัชญารสชาติอาหารไทย 5 รส
-
ประเมินบทบาทและยุทธศาสตร์ของ "Key Political Chefs" หรือผู้กำหนดนโยบายคนสำคัญ เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร
-
ถอดรหัสความหมายทางการเมืองของปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมอาหารร่วมสมัย และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
2. กรอบแนวคิดทฤษฎี: จาก Gastrodiplomacy สู่การเมืองเรื่องรสชาติ
เพื่อให้การวิเคราะห์มีความลุ่มลึกและมีฐานทางวิชาการรองรับ จำเป็นต้องวางรากฐานทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาหารเป็นเครื่องมือทางการทูตและการเมือง ดังนี้
2.1 Gastrodiplomacy: การชนะใจด้วยปลายจวัก
Paul Rockower นักวิชาการด้านการทูตสาธารณะ ได้นิยามคำว่า Gastrodiplomacy ไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นกระบวนการที่รัฐบาลใช้อาหารและวัฒนธรรมการกินเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี (Nation Branding) และ "ชนะใจและชนะท้อง" (Winning hearts and minds through stomachs) ของประชากรโลก แนวคิดนี้แตกต่างจาก Culinary Diplomacy ตามนิยามของ Sam Chapple-Sokol ซึ่งมักหมายถึงการใช้อาหารในบริบทของการทูตที่เป็นทางการ (Formal Diplomacy) เช่น การจัดเลี้ยงอาหารค่ำระหว่างผู้นำประเทศ (State Dinners) เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความประนีประนอมและการเจรจา 10
ในบริบทของไทย นโยบายของพรรคเพื่อไทยและคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ มีลักษณะที่สอดคล้องกับ Gastrodiplomacy ของ Rockower มากกว่า คือมุ่งเน้นไปที่ประชาชนทั่วไป (Foreign Publics) และตลาดโลก เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ มากกว่าเพียงแค่การเลี้ยงรับรองทูต การที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผลักดันโครงการ "1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย" (One Village One Thai Food Chef - OVOFC) คือรูปธรรมของการกระจายอำนาจละมุน (Soft Power) ลงสู่ฐานราก เพื่อสร้างกองทัพเชฟไทยที่จะออกไปปฏิบัติการ "ยึดครองกระเพาะอาหาร" ของคนทั่วโลก ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ Rockower เรียกว่าเป็นเครื่องมือของ "Middle Powers" หรือประเทศอำนาจปานกลางในการสร้างพื้นที่ยืนในเวทีโลก
2.2 Soft Power กับ Gastronationalism
แนวคิด Soft Power ของ Joseph Nye ซึ่งหมายถึงความสามารถในการดึงดูดและสร้างการยอมรับโดยไม่ต้องใช้การบังคับ (Coercion) ถูกนำมาผสมผสานกับแนวคิด Gastronationalism (ชาตินิยมทางอาหาร) ซึ่งหมายถึงการใช้อาหารเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างและยืนยันอัตลักษณ์ของชาติ อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนกว่ายุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ใช้อาหารสร้างความเป็นไทยแบบเดี่ยว (Monolithic Identity) ปัจจุบันเราเห็นพลวัตของ "Localism" หรือท้องถิ่นนิยม ที่พยายามต่อรองกับอำนาจส่วนกลางผ่านอาหาร เช่น การที่พรรคภูมิใจไทยและแกนนำอย่างนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สนับสนุนวัฒนธรรมอีสานผ่านสื่อภาพยนตร์และอาหาร หรือการรื้อฟื้นอาหารล้านนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Gastronationalism ในไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พหุวัฒนธรรม (Multiculturalism) มากขึ้น
2.3 ปรัชญารสชาติไทย: ผัสสะและธาตุเจ้าเรือน
การวิเคราะห์รสชาติในบริบทไทยต้องอิงกับภูมิปัญญาดั้งเดิมและเวชศาสตร์ไทย ซึ่งจำแนกรสชาติอาหารออกตามอิทธิพลต่อธาตุในร่างกาย (ดิน น้ำ ลม ไฟ) และจิตใจ 9 ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้:
| รสชาติ (Taste) | ความหมายทางปรัชญา/การแพทย์ไทย | นัยยะทางอารมณ์และสังคม | อุปมาทางการเมือง (Political Metaphor) |
| หวาน (Sweet) | ให้พลังงาน ซึมซาบเข้าเนื้อ บำรุงกำลัง แก้ฟกช้ำ (ธาตุดิน) | ความสุข ความอ่อนโยน การปลอบประโลม การตามใจ | ประชานิยม (Populism), การแจกจ่ายสวัสดิการ, การสร้างความหวัง |
| เค็ม (Salty) | รักษาเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเปื่อย (ถนอมอาหาร) ดูดซึมน้ำ | ความมัธยัสถ์ ความหนักแน่น การรักษาของเดิม | อนุรักษนิยม (Conservatism), วินัยการคลัง, เสถียรภาพ |
| เผ็ด/ร้อน (Spicy/Hot) | ขับลม กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แก้ปวดเมื่อย (ธาตุลม/ไฟ) | ความตื่นเต้น ความรุนแรง ความเปลี่ยนแปลง ความกล้าหาญ | การปฏิรูป (Reform), ฝ่ายก้าวหน้า (Progressive), การประท้วง, การรื้อโครงสร้าง |
| เปรี้ยว (Sour) | กัดเสมหะ ฟอกโลหิต กระตุ้นระบบขับถ่าย (ธาตุน้ำ) | ความสดชื่น ความกระฉับกระเฉง การตรวจสอบ การกัดกร่อน | เสรีนิยม (Liberalism), การตรวจสอบอำนาจรัฐ, ความหลากหลาย |
| ขม (Bitter) | แก้ไข้ บำรุงน้ำดี เจริญอาหาร (เป็นยา) | ความจริงจัง ความขมขื่น ความจริงที่ยอมรับยาก | เทคโนแครต (Technocrat), นโยบายยาขม, การปรับโครงสร้างที่เจ็บปวด |
3. พรรคเพื่อไทยและรส "หวาน" แห่งประชานิยม: สถาปัตยกรรมความอร่อยของหมอเลี้ยบ
พรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี และการวางยุทธศาสตร์หลังฉากโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (หมอเลี้ยบ) สามารถเทียบเคียงได้กับ "รสหวาน" (Sweetness) และรส "กลมกล่อม" (Umami) ซึ่งเป็นรสชาติพื้นฐานที่มนุษย์ปรารถนาและเข้าถึงได้ง่ายที่สุด
3.1 รสหวานในฐานะอุดมการณ์: จากประชานิยมสู่ซอฟต์พาวเวอร์
รสหวานเป็นรสชาติแห่งพลังงานที่ให้ผลทันที (Instant Gratification) เฉกเช่นเดียวกับนโยบาย "ประชานิยม" (Populism) ที่พรรคไทยรักไทย (ต้นกำเนิดของเพื่อไทย) ริเริ่มและประสบความสำเร็จอย่างสูงในอดีต ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือกองทุนหมู่บ้าน นโยบายเหล่านี้เปรียบเสมือนน้ำตาลกลูโคสที่ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดของระบบเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความกินดีอยู่ดีและความห่วงใยจากรัฐ
ในบริบทปี 2568 รสหวานนี้ถูกแปรรูป (Transformed) ให้มีความซับซ้อนและยั่งยืนมากขึ้น ผ่านนโยบาย "ซอฟต์พาวเวอร์" (Soft Power) โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้ 4 ล้านล้านบาท นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เปรียบเสมือน "Head Chef" ที่ตระหนักดีว่า การเสิร์ฟแต่ "น้ำตาล" (แจกเงิน) เพียงอย่างเดียว อาจนำไปสู่โรคเบาหวานทางเศรษฐกิจ (ภาระงบประมาณ) เขาจึงพยายามปรุงรสหวานนี้ใหม่ด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง คือ "ทักษะ" และ "ความคิดสร้างสรรค์"
-
นโยบาย OFOS (One Family One Soft Power): การพยายามสร้างทักษะแรงงานสร้างสรรค์ 20 ล้านคน คือการเปลี่ยนจากการแจกปลา มาเป็นการสอนทำอาหารรสเลิศ เพื่อให้ประชาชนสามารถสร้าง "ความหวาน" (รายได้) ได้ด้วยตนเองในระยะยาว
3.2 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: วิศวกรความอร่อย (The Culinary Architect)
บทบาทของ นพ.สุรพงษ์ มีความโดดเด่นอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางรสชาติของพรรคเพื่อไทย ข้อมูลชี้ว่าเขาทำงานเชื่อมโยงทั้งนโยบายสาธารณสุข (30 บาทรักษาทุกที่) และนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์
-
จากหมอสู่เชฟ: ความเป็นแพทย์ของเขาทำให้เขามอง "อาหาร" ในมิติของ "ยา" และ "สุขภาพ" (Wellness) มากกว่าแค่ความอร่อย ยุทธศาสตร์การผลักดัน "อาหารหมักดอง" (Fermented Food) และ "โพรไบโอติกส์" (Probiotics) ของไทยให้เป็นสินค้าส่งออก สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งในการผนวกภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทรนด์สุขภาพโลก นี่คือการปรุงรสหวานให้มีประโยชน์ต่อร่างกาย (Functional Sweetness)
-
การบริหารจัดการครัว (Kitchen Management): นพ.สุรพงษ์ ทำงานในลักษณะ "Back-office Operator" ที่ทรงพลัง เขาคือผู้จัดการครัวที่คอยควบคุมคุณภาพ ประสานงานระหว่างกระทรวง (Stations) และแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค (Debottlenecking) 20 เพื่อให้เมนูซอฟต์พาวเวอร์สามารถเสิร์ฟออกไปได้จริง ไม่ใช่แค่โฆษณาชวนเชื่อ
3.3 ความเสี่ยงของรสหวาน: ภาวะเลี่ยนและความคาดหวัง
แม้รสหวานจะเป็นที่โปรดปราน แต่หากมากเกินไปจะทำให้เกิดความ "เลี่ยน" (Cloying) และปัญหาสุขภาพ ในทางการเมือง นโยบายที่เน้นการสร้างภาพลักษณ์และความสุขมวลรวม อาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ "กลบเกลื่อน" ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ขมขื่น (เช่น ปัญหาความยุติธรรม หรือการผูกขาด) นักวิชาการบางท่านเตือนว่า "รสหวาน" ของประชานิยมอาจทำให้ประชาชนเสพติดและขาดภูมิคุ้มกัน 23 ดังนั้น ความท้าทายของพรรคเพื่อไทยคือการเติมรสอื่น (เช่น รสเปรี้ยวของการตรวจสอบ หรือรสเค็มของวินัย) ลงไปในสำรับ เพื่อให้เกิดความสมดุล
4. พรรคประชาธิปัตย์และการกลับมาของ "รสเค็ม": การถนอมรักษาในโลกที่เปลี่ยนไป
พรรคประชาธิปัตย์ สถาบันการเมืองเก่าแก่ที่กำลังพยายามฟื้นตัว ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และขุนพลเศรษฐกิจอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช สะท้อนบุคลิกของ "รสเค็ม" (Saltiness) ได้อย่างชัดเจนที่สุด
4.1 เกลือ: ผู้รักษาและถนอมสภาพ (Salt as The Preserver)
ในวัฒนธรรมอาหาร รสเค็มจากเกลือเป็นสิ่งจำเป็นในการ "ถนอมอาหาร" (Preservation) เพื่อยืดอายุและป้องกันการเน่าเสีย ซึ่งสอดคล้องกับอุดมการณ์ "อนุรักษนิยม" (Conservatism) ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของสถาบันหลัก การยึดถือขนบธรรมเนียม และการรักษาระบบระเบียบของบ้านเมือง
-
ความเค็มในฐานะความหนักแน่น: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจุดยืน "สุภาพบุรุษทางการเมือง" และการทำการเมืองที่ซื่อสัตย์ เปรียบเสมือนเกลือสมุทรที่บริสุทธิ์ ไม่เจือปน รสเค็มนี้อาจไม่หวือหวาเหมือนรสหวานหรือเผ็ด แต่เป็นรสชาติพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการคงไว้ซึ่ง "รสชาติของความเป็นรัฐ" (Statehood)
4.2 กรณ์ จาติกวณิช: พ่อครัวแห่งวินัยการคลัง
การกลับมาของนายกรณ์ จาติกวณิช ในบทบาทรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย ตอกย้ำความเป็น "รสเค็ม" ในมิติทางเศรษฐกิจ ในอดีตสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง เขาได้รับยกย่องในเรื่องการบริหารจัดการวิกฤตเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง (Prudence) และวินัยการคลัง
-
นโยบายรสเค็ม: แนวคิดเรื่องการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือการคัดค้านนโยบายประชานิยมสุดโต่ง สะท้อนถึงการใช้ "เกลือ" เพื่อตัดความหวานที่มากเกินไปและดึงรสชาติที่แท้จริงของเศรษฐกิจออกมา (Real Sector Growth) นายกรณ์พยายามนำเสนอ "พรีเมียม" ของสินค้าเกษตร (Premium Value Added) 30 ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ คล้ายกับการใช้ "ดอกเกลือ" (Fleur de Sel) ปรุงอาหารชั้นดี แทนที่จะใช้น้ำปลาคุณภาพต่ำราดจนชุ่ม
4.3 วิกฤตของรสเค็ม: ความ "เขี้ยว" หรือความจืดชืด?
ปัญหาของรสเค็มในบริบทการเมืองใหม่คือ ภาพลักษณ์ความ "เขี้ยวลากดิน" (Old-school Tactics) หรือความล่าช้าในการตัดสินใจ คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับรสชาติที่จัดจ้านของโลกดิจิทัลอาจมองว่ารสเค็มของประชาธิปัตย์นั้น "จืดชืด" หรือ "ล้าสมัย" (Old-fashioned) ความท้าทายของนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์คือ การปรุงรสเค็มนี้อย่างไรให้กลายเป็น "ความกลมกล่อม" (Umami/Mellow) ที่สังคมยอมรับได้ ไม่ใช่ความเค็มปี๋ที่ทำให้ไตวาย (ความขัดแย้งที่หาทางออกไม่ได้)
5. พรรคภูมิใจไทยและ "รสแซ่บ" ท้องถิ่นนิยม: พลังของปลาร้าและโมเดลไทบ้าน
พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และบทบาทโดดเด่นของนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ 32 คือตัวแทนของ "รสแซ่บ" (Zesty/Spicy-Sour) และ "รสนัว" (Umami of Isan) ซึ่งสะท้อนพลังของท้องถิ่นนิยม (Localism) และการเมืองแบบปฏิบัติพานิชย์ (Pragmatism)
5.1 รสแซ่บ: อัตลักษณ์ที่กินได้จริง
อาหารอีสาน เช่น ส้มตำ ลาบ น้ำตก มีเอกลักษณ์ที่รสชาติจัดจ้าน ชัดเจน และ "นัว" (กลมกล่อมด้วยปลาร้า) อาหารเหล่านี้ก้าวข้ามเส้นแบ่งทางชนชั้น กลายเป็น Comfort Food ของคนไทยทั้งประเทศ เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยที่วางตำแหน่งตัวเองเป็นพรรคที่ "กินได้" (Practical) เน้นนโยบายแก้ปัญหาปากท้องแบบถึงลูกถึงคน และมีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าร่วมกับขั้วอำนาจต่างๆ (เหมือนปลาร้าที่ใส่ในแกงอะไรก็อร่อย)
5.2 สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ: ผู้ปรุงรสซอฟต์พาวเวอร์ภูธร
นายสิริพงศ์ หรือ "เสี่ยโต้ง" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนิยามโมเดลซอฟต์พาวเวอร์ของพรรค เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์จักรวาล "ไทบ้าน" และ "สัปเหร่อ"
-
Grassroots Gastrodiplomacy: ความสำเร็จของไทบ้าน เดอะซีรีส์ ไม่ได้เกิดจากการอัดฉีดงบประมาณจากส่วนกลางแบบ Top-down (เหมือนโมเดลผัดไทยในอดีต) แต่เกิดจากการเติบโตของวัฒนธรรมป๊อปท้องถิ่น (Bottom-up) ที่นำเสนอวิถีชีวิต อาหารการกิน และภาษาถิ่นอย่างตรงไปตรงมา (Authentic) นายสิริพงศ์ใช้ "รสชาติท้องถิ่น" นี้เป็นหัวหอกในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความภูมิใจให้กับคนในพื้นที่
-
จากไทบ้านสู่ทำเนียบ: การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของนายสิริพงศ์ เป็นสัญญะสำคัญที่บ่งบอกว่า "รสชาติภูธร" ได้เข้ามามีบทบาทหลักในครัวกลางของรัฐบาลแล้ว เขานำทักษะการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและเข้าถึงง่าย (เหมือนรสแซ่บ) มาใช้ในการสื่อสารนโยบายรัฐ
5.3 พลังแห่งการปรับตัว (Adaptive Flavor)
จุดเด่นของรสแซ่บแบบภูมิใจไทยคือความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) เช่นเดียวกับอาหารอีสานที่ปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นของคนทั่วโลกได้ พรรคภูมิใจไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็น "ตัวแปร" (Kingmaker) ในการจัดตั้งรัฐบาล และสามารถทำงานร่วมกับทั้ง "รสหวาน" (เพื่อไทย) และ "รสเค็ม" (อนุรักษนิยม) ได้อย่างไม่ขัดเขิน โดยใช้ "รสนัว" ของผลประโยชน์และการพัฒนาพื้นที่เป็นตัวเชื่อมประสาน
6. พรรคประชาชนและ "รสเผ็ด" แห่งการเปลี่ยนแปลง: พริกขี้หนูในสวนแห่งอำนาจ
แม้ข้อมูลในเอกสารจะไม่ได้เจาะลึกพรรคประชาชน (หรืออดีตพรรคก้าวไกล) โดยละเอียด แต่ในบริบทการเมืองไทยปี 2568 และการวิเคราะห์รสชาติ บทบาทของฝ่ายค้านเชิงโครงสร้างหรือฝ่ายก้าวหน้า (Progressive) เทียบเคียงได้กับ "รสเผ็ดร้อน" (Spiciness/Heat) และ "รสเปรี้ยว" (Acidity) อย่างชัดเจน
6.1 รสเผ็ด: ความเจ็บปวดที่นำมาซึ่งการตื่นรู้
ในทางวิทยาศาสตร์อาหาร ความเผ็ด (Pungency) ไม่ใช่รสชาติที่รับรู้โดยต่อมรับรส แต่เป็นความรู้สึก "เจ็บปวด" (Pain) ที่รับรู้โดยปลายประสาท ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว หลั่งเหงื่อ และหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน 35 ในทางการเมือง "รสเผ็ด" ของกลุ่มก้าวหน้าคือการทำหน้าที่:
-
กระตุ้นให้ตื่น (Awakening): การอภิปรายและข้อเสนอของพรรคนี้มักทิ่มแทงใจดำ เปิดแผล และนำเสนอ "ความจริงที่น่าอึดอัด" (Inconvenient Truths) เกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจ การผูกขาด และงบประมาณกองทัพ เปรียบเสมือนการเคี้ยวพริกสดที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้อง "สะดุ้ง"
-
การเผาผลาญสิ่งเก่า: รสเผ็ด (ธาตุไฟ) มีคุณสมบัติในการเผาผลาญและทำลายล้างเพื่อสร้างใหม่ (Creative Destruction) สอดคล้องกับอุดมการณ์รื้อถอนโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม
6.2 รสเปรี้ยว: การกัดกร่อนและการตรวจสอบ
ควบคู่กับความเผ็ด คือ "รสเปรี้ยว" (Sourness) ของมะนาว ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด (Acidic) มีคุณสมบัติในการ "กัดกร่อน" คราบสกปรกและ "ตัดเลี่ยน"
-
การตัดเลี่ยนอำนาจ: ในสภาที่มีแต่รสหวานของประชานิยมและการประนีประนอมแบบเกรงใจกัน รสเปรี้ยวของฝ่ายค้านทำหน้าที่ "ตัดเลี่ยน" (Cut through the richness) ตรวจสอบการทุจริต และตั้งคำถามที่แหลมคม เพื่อไม่ให้สังคมเอียนกับภาพลักษณ์ที่สวยหรูเกินจริง
-
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม: ปรากฏการณ์ "ส้ม" (สีประจำพรรคและผลไม้รสเปรี้ยว) กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง เปรียบได้กับ "น้ำจิ้มซีฟู้ด" ที่ขาดไม่ได้ในโต๊ะอาหารไทย เพราะถ้าขาดรสนี้ อาหารจานหลัก (รัฐบาล) อาจจะจืดชืดหรือเลี่ยนจนทานไม่ลง
7. บทวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์: การเมืองบนโต๊ะอาหาร (The Politics of the Thai Table)
เมื่อนำพรรคการเมืองต่างๆ มาวางเรียงกันบนโต๊ะอาหาร เราจะพบว่าการเมืองไทยปี 2568 ไม่ใช่การต่อสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่เป็นการพยายามจัด "สำรับ" (Menu Set) ให้ลงตัวที่สุด
7.1 รัฐบาลผสมในฐานะ "Fusion Food"
รัฐบาลแพทองธาร 2568 คือความพยายามปรุงอาหารจานใหญ่แบบ "Fusion" ที่ต้องผสมผสาน:
-
วัตถุดิบหลัก: ข้าวหอมมะลิ (ความเป็นไทย/เพื่อไทย)
-
เครื่องปรุง: น้ำตาล (ประชานิยม/หมอเลี้ยบ), เกลือ/น้ำปลา (อนุรักษนิยม/ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ), และ พริก/ปลาร้า (ท้องถิ่นนิยม/ภูมิใจไทย)
-
ความท้าทาย: การผสมรสชาติเหล่านี้ให้ "กลมกล่อม" (Harmonious) เป็นศิลปะขั้นสูง หากใส่น้ำตาลมากไปจะเลี่ยน (คนเบื่อประชานิยม) หากใส่เกลือมากไปจะเค็ม (เศรษฐกิจฝืดเคือง) หากใส่พริกมากไปจะเผ็ดจนกินไม่ได้ (ความขัดแย้งรุนแรง)
7.2 บทบาทของ "คนกลาง" และ Gastrodiplomacy
ในบริบทนี้ บทบาทของ Gastrodiplomacy จึงไม่ได้มีไว้เพื่อขายอาหารให้ต่างชาติเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อ "กล่อมเกลา" คนในชาติด้วย
-
Soft Power as Internal Glue: โครงการซอฟต์พาวเวอร์ต่างๆ ทำหน้าที่เป็น "กาวใจ" หรือ "น้ำซุป" ที่ช่วยคล่องคอ ให้พรรคร่วมรัฐบาลที่มีอุดมการณ์ต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ภายใต้ธงนำเดียวกัน คือ "การสร้างรายได้เข้าประเทศ"
-
กรณีศึกษาการทูตมะม่วงและลูกชิ้น: ปรากฏการณ์ที่ศิลปินอย่าง "มิลลิ" (กินข้าวเหนียวมะม่วงบนเวที Coachella) หรือ "ลิซ่า" (พูดถึงลูกชิ้นยืนกิน) สร้างผลกระทบมหาศาล ยืนยันทฤษฎีของ Rockower ว่า Soft Power จากภาคประชาชน (Citizen-to-Citizen) มีพลังมากกว่าภาครัฐ แต่รัฐบาลฉลาดพอที่จะ "โหนกระแส" (Piggyback) และอำนวยความสะดวก (Facilitate) เพื่อเปลี่ยนกระแสชั่วคราวให้เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว
7.3 ตารางเปรียบเทียบเชิงยุทธศาสตร์ (Comparative Strategy Matrix)
| มิติการเปรียบเทียบ | พรรคเพื่อไทย (รสหวาน/กลมกล่อม) | พรรคประชาธิปัตย์ (รสเค็ม) | พรรคภูมิใจไทย (รสแซ่บ/นัว) |
| ปรัชญาหลัก | สร้างความมั่งคั่ง, กินดีอยู่ดี (Populism) | รักษาเสถียรภาพ, วินัย (Conservatism) | ปฏิบัตินิยม, ท้องถิ่นนิยม (Pragmatism) |
| Key Figure | นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (Chef de Cuisine) | กรณ์ จาติกวณิช (Quality Controller) | สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ (Local Influencer) |
| ยุทธศาสตร์อาหาร | 1 หมู่บ้าน 1 เชฟ, ครัวโลก, Wellness Food | พรีเมียมเกษตร, Value Added, มาตรฐาน | Street Food, อาหารท้องถิ่น, Pop Culture |
| จุดแข็ง | Mass Appeal, การตลาดเก่ง, วิสัยทัศน์ | ความน่าเชื่อถือ, ประสบการณ์, ระบบ | ความยืดหยุ่น, ฐานเสียงแน่น, เข้าถึงง่าย |
| จุดอ่อน | ภาระงบประมาณ, เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน | ภาพลักษณ์ล้าสมัย, เข้าถึงยาก (Elite) | ภาพลักษณ์ผลประโยชน์ทับซ้อน, เฉพาะกลุ่ม |
| Gastrodiplomacy | ระดับมหภาค (Global Campaign) | ระดับนโยบายการค้า (Trade Policy) | ระดับรากหญ้า/สื่อบันเทิง (Media/Grassroots) |
8. บทสรุปและข้อเสนอแนะ: อนาคตของรสชาติการเมืองไทย
จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่า "รสชาติ" ของการเมืองไทยในปี 2568 กำลังอยู่ในช่วง "การปรับรส" (Seasoning Adjustment) ครั้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้แทนราษฎร แต่ทำหน้าที่เป็น "ผู้ปรุงรส" (Tastemakers) ให้กับสังคม
บทสรุปเชิงลึก:
-
การเมืองคือการจัดการความหิวโหย: พรรคเพื่อไทยเข้าใจดีที่สุดว่าความมั่นคงทางการเมืองเริ่มต้นที่ "กระเพาะอาหาร" จึงใช้นโยบายรสหวานนำหน้า แต่ต้องระวังไม่ให้ความหวานนั้นกลายเป็นยาพิษ
-
ความจำเป็นของความหลากหลาย: สังคมไทยต้องการสำรับที่มีครบทุกรส การขาดรสใดรสหนึ่งไปจะทำให้ระบบเสียสมดุล รสเค็มของประชาธิปัตย์และรสเผ็ดของฝ่ายค้านยังคงจำเป็นในการตรวจสอบและถ่วงดุลรสหวานและรสแซ่บของรัฐบาล
-
อำนาจของ Soft Power: นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ภายใต้การนำของ นพ.สุรพงษ์ ไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิง แต่เป็น "ยุทธศาสตร์ความอยู่รอด" (Survival Strategy) ของเศรษฐกิจไทย ที่พยายามเปลี่ยนต้นทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นทองคำ
ข้อเสนอแนะสู่อนาคต:
เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง รัฐบาลและพรรคการเมืองควร:
-
ผสมผสานรสชาติ (Harmonize): เลิกมองรสชาติที่แตกต่างเป็นศัตรู แต่มองว่าเป็น "เครื่องเคียง" ที่เสริมส่งกัน (Complementary)
-
ยกระดับวัตถุดิบ (Upgrade Ingredients): ลงทุนในการสร้างทักษะคน (Human Capital) อย่างจริงจังตามแนวทาง OFOS เพื่อให้อาหารไทย (นโยบายไทย) มีคุณภาพจากเนื้อใน ไม่ใช่แค่การปรุงแต่งรสจัดจ้าน
-
ใส่ใจสุขภาพ (Focus on Wellness): บูรณาการแนวคิด "อาหารเป็นยา" ของ นพ.สุรพงษ์ เข้ากับทุกนโยบาย เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาวะดี (Well-being Society) ไม่ใช่แค่สังคมที่ร่ำรวยแต่เจ็บป่วย
ท้ายที่สุด การเมืองไทยก็เหมือน "ต้มยำกุ้ง" ที่ต้องมีความเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน และหอมสมุนไพร อย่างลงตัว หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นต้มยำกุ้งที่สมบูรณ์ได้ฉันใด การเมืองที่ขาดการมีส่วนร่วมและความหลากหลาย ก็ไม่อาจนำพาชาติไปสู่ความเจริญได้ฉันนั้น
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง
Top 5 ข่าวการเมือง ![]()
- สั่งอพยพด่วน! ทหารไทย-กัมพูชา "ยิงสนั่น" ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน กำลังพลเจ็บ 2 นาย 7 ธ.ค. 2568
- รสชาติแห่งอำนาจ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยผ่านสัญญะทางโภชนาการและยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ 7 ธ.ค. 2568
- พท.จ่อร้องศาล รธน. เอาผิดจริยธรรม “อนุทิน-รมต.” ก่อนยื่นซักฟอก เย้ย รบ.ยกธงขาวเตรียมยุบสภาหนี 7 ธ.ค. 2568
- "จุลพันธ์" นำทีมเพื่อไทย ผนึก "ประชาชาติ" ลุยหาดใหญ่ เดินหน้าส่งอาสาสมัครเร่งฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง 7 ธ.ค. 2568
- พ่อนายกฯอนุทินแนะลูกตั้งใจทำทุกอย่างจริงใจ-โปร่งใส หลังได้รับเลือกเป็นพ่อดีเด่นแห่งชาติ 68 รวม 45 คน 7 ธ.ค. 2568
ข่าวในหมวดการเมือง ![]()
“อามินทร์” ลงพื้นที่กระบี่ หนุนเกษตรแปลงใหญ่ ดันมาตรฐานฟาร์ม–โรงฆ่าฮาลาล เพิ่มศักยภาพเกษตรกรรองรับตลาดมุสลิมใน–ต่างประเทศ 20:17 น.- Thailand Classic Guitar Contest 2025 – “เพลงของพ่อ” เปิดเวทีอย่างงดงาม ณ ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน 20:15 น.
- "ดร.มหานิยม" เป็นประธานงานฌาปนกิจศพ "คุณยายนนท์ เมามีจันทร์" อายุ 93 ปีเมืองสกลนคร 19:16 น.
- ไทยพร้อมโชว์ศักยภาพสินค้าเกษตรคุณภาพพรีเมียม สู่ตลาดซาอุดิอาระเบียในงาน Agro Food Jeddah 2025 19:05 น.
- “อนุทิน” ลงพื้นที่สตูล เร่งฟื้นฟูเมือง – วางแผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว ย้ำลงทุนป้องกันครั้งเดียว คุ้มกว่าจ่ายเยียวยาซ้ำทุกปี 18:27 น.


