วันพุธ ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567 18:34 น.

ภูมิภาค

วท.พยาบาลฯนครพนมฉาวต่อ! คอมพิวเตอร์หาย19เครื่อง

วันอาทิตย์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562, 17.17 น.

วท.พยาบาลฯนครพนมฉาวต่อ!
คอมพิวเตอร์หาย19เครื่อง

 
    

กรณี ผศ.ดร.เพ็ญศิริ ภักดีภคภากร อดีตคณบดีวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีฯ (วท.พยาบาลฯ) มหาวิทยาลัยนครพนม (ม.นพ.) ถูกผู้มีอำนาจพร้อมลูกน้อง ร่วมกันหาเรื่องกลั่นแกล้ง อย่างไม่เป็นธรรม และไร้ธรรมาภิบาล โดยพยายามยัดเยียดข้อกล่าวหาต่างๆนาๆ เจตนาต้องการให้อดีตคณบดีท่านนี้พ้นจากวงโคจรในแวดวงการศึกษา และให้มีประวัติด่างพร้อยติดตัว
    

แผนการราวีนั้นผู้มีอำนาจใหญ่ จะสั่งผ่านร่างทรงที่โอบอุ้มส่งเสริมให้เป็นใหญ่ใน ม.นพ. เป็นผู้ดำเนินการ อย่างเช่นการสั่งพักราชการ(ครั้งที่ 1) ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ ตามอนุสนธิหนังสือคำสั่ง ม.นพ.ที่ 1167/2561 ลงวันที่ 11 พ.ค.61 นั้น ต่อมากลุ่มผู้มีอำนาจเห็นว่าการสั่งพักราชการครั้งนี้ไปต่อไม่ได้ จึงออกเป็นคำสั่ง ม.นพ.ที่ 1817/2561 ลงวันที่ 23 ก.ค.61 ให้ ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ กลับเข้ารับราชการ โดยให้เหตุผลในการสั่งพักราชการว่า “เกิดความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อนทำให้เกิดความผิดพลาดในการออกคำสั่งพักราชการดังกล่าว”
    

แต่การกลับมาเป็นคณบดี วท.พยาบาลฯ อาจเป็นแค่ตำแหน่งเฉยๆ โดยไม่มีอำนาจสั่งงานอะไรได้ เพราะผู้รักษาราชการแทนฯ ไม่ยอมส่งมอบหน้าที่ ทำได้แค่นั่งดูไปวันๆ ใน วท.พยาบาลฯในห้วงเดือน ส.ค.61 จึงเหมือนมีคณบดีซ้อนคณบดี ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาต่างพากันงงเพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไร
    

ระหว่างนั้นเองก็พบว่า มีเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ HP รุ่น All IN ONE จำนวน 19 เครื่อง สูญหายไปจากวิทยาลัยฯ จึงมีการสอบถามว่าหายไปอย่างไร พบข้อเท็จจริงว่าหลังจาก ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ มีคำสั่งพักราชการ ก็มี ผศ.หญิงคนหนึ่งเข้ามารักษาราชการแทน และคอมพิวเตอร์ทั้ง 19 เครื่อง ล่องหนไปในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.61ยุคที่มี ผศ.หญิงคนนี้รักษาราชการฯ และมีนาย อ. เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ พ่วงด้วยตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายบริหาร มีลูกน้องคนสนิทชื่อนาย พ. ซึ่งเบื้องต้นนาย พ.อ้างว่านำคอมฯทั้ง 19 เครื่อง ไปลงโปรแกรมข้างนอกเท่านั้น และจะนำกลับมาคืนประจำห้องที่ระบุให้ใช้งานตามเดิมภายใน 1 อาทิตย์ แต่ภายหลังนาย พ.ยอมรับสารภาพว่า นำเครื่องคอมฯทั้งหมดไปขาย
    

ต่อมา ผศ.หญิงเกษียณอายุราชการ ผู้มีอำนาจใน ม.นพ. ได้แต่งตั้งนาย ร. เด็กในคาถาอีกคนมารักษาการแทนฯต่อ กระทั่งวันที่ 6 ส.ค.61 ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งคณบดีวิทยาลัยฯ นาย ร.และคณะไม่ยอมส่งมอบงานให้ อาจเนื่องจากมีเจตนาปกปิดความผิดที่มีผู้กระทำไว้
    

และก่อนหน้าที่ ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ จะกลับเข้ารับตำแหน่งคณบดี วท.พยาบาลฯ วันที่ 1 ส.ค.61 มีคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดย ผช.อธิการบดี ผู้มีหน้าที่กำกับดูแลงานของหน่วยตรวจสอบภายใน ม.นพ. เป็นประธานกรรมการฯ ได้เข้าตรวจสอบครุภัณฑ์ใน วท.พยาบาลฯ และจะต้องรายงานผลการตรวจภายในวันที่ 3 ส.ค.61 ซึ่งวันที่ 2 ส.ค.61นั้น ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ ได้นำเครื่องออกกำลังกายจักรยานเอนปั่น มาให้ตรวจนับในสภาพดี แต่ในใบรายงานผลการตรวจครุภัณฑ์ ลงวันที่ 3 ส.ค.61 ของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน ซึ่งเป็นลูกน้องของประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริง กลับเจาะจงรายงานว่า “ไม่พบ” คือ จักรยานเอนปั่น หมายเลขครุภัณฑ์ วพบ.นพ.01.1 3.0 19.001/59 ส่วนคอมพิวเตอร์จำนวน 19 เครื่องที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับถูกมองข้ามผ่านอย่างน่าฉงนใจ และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ ถูกผู้มีอำนาจนำมาอ้างในการสั่งพักราชการเป็นครั้งที่สอง
    

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบฯกลับไป ทำให้ผู้ปฏิบัติงานในด้านการจัดซื้อจัดจ้างและควบคุมทรัพย์สินของทางราชการ อย่างน้อย 3 คน เกิดความกังวลใจในเรื่องคอมพิวเตอร์ 19 เครื่อง สูญหายอย่างไร้ร่องรอย เนื่องจากนาย อ.หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ เรียกเจ้าหน้าที่พัสดุทุกคนเข้าพบ พร้อมกับอ้างว่านาย พ.ลูกน้อง นำไปใช้ส่วนตัว แต่จะนำกลับมาภายใน 1 อาทิตย์ ส่วนคำผิดของนาย พ.ตนจะเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง พร้อมกับคำขู่ว่าห้ามใครแพร่งพรายเรื่องดังกล่าวออกไปข้างนอก ถ้าอยากจะทำงานอยู่ที่นี่ต่อไป
    

ขณะที่ ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ หลังกลับเข้ารับตำแหน่งคณบดี วท.พยาบาลฯ ทราบว่าคอมพิวเตอร์ 19 เครื่อง หายไปจาก วท.พยาบาลฯ จึงมีหนังสือถึงนาย ร. รักษาราชการแทนฯคณบดี วท.พยาบาลฯ ลงวันที่ 7 ก.ย.61 อ้างถึงบันทึกข้อความ วท.พยาบาลฯ ที่ ศธ.0589.5(1)/3139 เรื่องรายงานครุภัณฑ์สูญหาย ลงวันที่ 6 ก.ย.61 ที่รายงานว่ามีครุภัณฑ์เรื่องคอมพิวเตอร์ HP รุ่น All IN ONE จำนวน 19 เครื่อง หายไปจาก วท.พยาบาลฯ ช่วงเดือน ม.ค.61 ซึ่งในช่วงเวลาที่ ผศ.หญิง ที่เกษียณอายุราชการ รักษาราชการแทนฯ และมีนาย อ. เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุและรองคณบดีฝ่ายบริหาร ต่างรับทราบเรื่องราวมาโดยตลอด จากเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่พัสดุมีความกังวลใจในเรื่องที่เกิดขึ้น และขณะนี้ยังไม่มีการนำคอมพิวเตอร์จำนวน 19 เครื่องกลับคืนมา และนาย ร.รักษาราชการแทนฯคนต่อมาก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับข้าราชการ
    

ในฐานะที่นาย ร.รักษาราชการแทนฯ และไม่ยอมส่งมอบงานคืนแก่คณบดีตัวจริง จึงย่อมเป็นหน้าที่ของนาย ร. ที่จะต้องแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด แต่นาย ร.กลับเอาหูทวนลม ไม่ยอมดำเนินการใดๆทั้งสิ้น
    

ปรากฏว่าเรื่องคอมพิวเตอร์หาย ถูกบรรจุอยู่ในคำฟ้องศาลอาญาทุจริตภาค 4 ด้วย ผู้มีอำนาจจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และได้มีการไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ จากร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าย่านถนนอภิบาลบัญชา เขตเทศบาลเมืองนครพนม มาสวมแทนของเก่าที่หายไป แต่ยังจ่ายเงินให้กับทางร้านไม่หมด จึงเอาชื่ออาจารย์คนหนึ่งไปค้ำประกัน ส่วนหนึ่งบังคับให้เจ้าหน้าที่ร่วมจ่ายเงินซื้อคอมพิวเตอร์ โดยสั่งมาเป็นยี่ห้อและสเป็กเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ที่หายไป  จากนั้นก็สรุปผลการสอบว่าคอมพิวเตอร์ไม่ได้หาย เพียงนำออกไปลงโปรแกรมข้างนอก วท.พยาบาลฯเท่านั้น แต่ก็ยังมีหลายคนคลางแคลงใจ ในเหตุผลที่กล่าวอ้าง เพราะคอมพิวเตอร์หายไปตอนต้นเดือน ม.ค.61 ได้กลับมาอยู่ที่เดิมในเดือน ธ.ค.61 ขณะเดียวกันมีคลิปเสียงการสนทนาของนาย ว. นิติกร ตำแหน่งหัวหน้างานฯ ม.นพ. ไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่พัสดุ วท.พยาบาล และพยายามขู่ว่าคอมพิวเตอร์ที่หายเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่พัสดุ ส่วนคนที่ขโมยของหลวงไปขายก็รอดพ้นความผิดอย่างน่าอัศจรรย์
    

เมื่อนำเรื่องกรณีการสั่งพักราชการ ผศ.ดร.เพ็ญศิริฯ และถูกสอบวินัยร้ายแรง เรื่องนำจักรยานเอนปั่นไปไว้ที่บ้านพัก ทั้งที่อยู่ในเขตบริเวณ วท.พยาบาลฯ ไม่ได้นำออกไปใช้ข้างนอก มาเทียบเคียงกับเรื่องคอมพิวเตอร์ 19 เครื่อง ถูกขโมยไปขาย ซึ่งเป็นการเกิดเหตุในสถานที่เดียวกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้มีอำนาจเลือกปฏิบัติ ปกป้อง ช่วยเหลือผู้กระทำผิด เพราะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ อีกทั้งผู้มีอำนาจยังกล้าเสนอแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนฯ ทั้งที่ทราบว่าขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับสภาการพยาบาล เรื่องคุณสมบัติของผู้บริหารสถาบันการศึกษาพยาบาล ตามเกณฑ์ข้อบังสภาการพยาบาลว่าด้วยหลักเกณฑ์การรับรองสถาบันการศึกษาวิชาชีพพยาบาลและผดุงครรภ์ พ.ศ.2560 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยแหกกฎด้วยการแต่งตั้ง ผศ.หญิง มารักษาราชการแทนฯ จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการคือ วท.พยาบาลฯมาแล้ว โดยกลุ่มผู้มีอำนาจต่างไม่สนใจกฎเกณฑ์ที่ระบุไว้ ซึ่งผลจากการกระทำอาจจะมีผลรุนแรงขั้นไม่ได้รับรองสถาบัน จะทำให้นักศึกษาที่จบการศึกษาไป ไม่สามารถสอบใบประกอบวิชาชีพได้ต่อไปในอนาคต

หน้าแรก » ภูมิภาค