วันพฤหัสบดี ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567 23:31 น.

ภูมิภาค

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคอีสานทวงคืน! ที่ดินสาธารณะถูกนายทุนยึดครอง พร้อมช่วยพระ-ชาวบ้านถูกไล่ที่

วันเสาร์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 21.29 น.


วานนี้ (16 ส.ค. 62 ) นายจำรูญศักดิ์  จันทรมัย  รองเลขาธิการพรรคไทยศรีวิไลย์ และ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคอีสาน ได้ลงพื้นที่ ณ  สำนักสงฆ์มัชฌิมาเวฬุวนาราม ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี   หลังจากองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานี ได้มาร้องทุกข์กับตน กรณีชาวบ้านและพระสงฆ์ถูกไล่ที่ หลังจากที่ชุมชนตำบลแสนสุขและชุมชนตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ใช้บริเวณพื้นที่ป่าสาธารณะร่วมกัน ด้วยการตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น  มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบและปฏิบัติธรรมทางศาสนา มานานนับ 20 ปี  โดยป่าสาธารณะดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของบ้านกลาง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และอยู่ห่างจากบ้านกลางประมาณ 5 กิโลเมตร   และ ในวันเดียวกัน นายจำรูญศักดิ์  จันทรมัย ได้เดินทางไปที่ อบต.โนนผึ้ง โดยเข้าพบเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนผึ้ง   เพื่อขอทราบพรบ.ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการควบคุมดูแลพื้นที่ดินสาธารณะและพื้นที่สาธารณประโยชน์ใช้ร่วมกัน  ที่อยู่ในความควบคุมดูแลโดยอำนาจขององค์การบริหารส่วนตําบลโนนผึ้ง ว่ามีทั้งหมดเท่าไร.? เพื่อนำมาประกอบในคดี
             

นายจำรูญศักดิ์  จันทรมัย  กล่าวว่า  หากทำการตรวจสอบพบว่า  ยังมีบุคคลอื่นอีกหรือไม่ที่บุกรุกและครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์และที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ใช้ร่วมกัน  โดยที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบลโนนผึ้งนิ่งเฉยไม่ดำเนินคดี  และหลังจากนั้นก็จะนำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการของการฟ้องร้องในคดีต่อไป   และ จะนำส่งข้อมูลเอกสารทั้งสิ้น รวมถึงรายงานความเดือดร้อนของพุทธศาสนิกชนไปยัง นาย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ “เต้” หัวหน้าพรรคไทยศิริไลย์ ให้รับทราบ เพื่อหาทางช่วยเหลือ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ และ เพื่อให้ความจริงปรากฏพื้นที่ดินของทางภาครัฐยังคงอยู่และสามารถใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด  และจะเร่งรัดดำเนินการหาทนายความในการดำเนินคดีกับข้าราชการที่อาจจะใช้หน้าที่ในทางที่ผิดรวมไปถึงบุคคลที่ไปบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าและยึดครองพื้นที่ดินสาธารณะมาดำเนินคดีให้จงได้
             

อนึ่ง   ย้อนหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง องค์การบริหารส่วนตำบลโนนผึ้ง(อบต.โนนผึ้ง) ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ  ในวันที่ 11 ธันวาคม 2557 เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับสำนักสงฆ์มัชฌิมาเวฬุวนารามที่ได้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ป่าช้าเก่า บ้านกลางหมู่ที่ 8 ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี  ซึ่งต่อมาได้มีการฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งศาลชั้นต้นพระและบริวารที่ไปประกอบศาสนกิจบริเวณพื้นที่ป่าช้าสาธารณะใช้ร่วมกัน เป็นฝ่ายชนะคดี   แต่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ถวายพระและบริวารแพ้คดี
              

นายจำรูญศักดิ์  จันทรมัย  รองเลขาธิการพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.62   องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาได้ร้องทุกข์นำเรียนกับตนว่า  เกิดข้อสงสัยในการฟ้องคดีในชั้นศาลเนื่องด้วยมีประเด็นให้สงสัยอยู่หลายเรื่องเกี่ยวกับประเด็นการออกรังวัดของที่ดินซึ่งที่ดินตามเอกสารมีอยู่ทั้งสิ้น 34 ไร่แต่การรังวัดของเจ้าหน้าที่ที่ดินที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกรรมการ 1 ใน 9  คน  แจ้งกับทางศาลว่าพื้นที่ดินเหลือเพียงแค่ 24 ไร่ ซึ่งอีก 10 ไร่หายไปไหน ไม่มีการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงรายงานให้กับอำเภอทราบ  ประเด็นข้อเท็จจริงที่จะนำเรียนเพื่อหาข้อโต้แย้งและขอความเป็นธรรมให้กับพระและบริวารพุทธศาสนิกชนที่นับถือพระพุทธศาสนาพบเห็นว่าตามหลักฐานที่กล่าวอ้างระบุว่าพื้นที่ที่ถูกบุกรุกจำนวน 10 ไร่  เป็นทางสาธารณะ  แต่เมื่อองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาได้ลงพื้นที่จริงกลับพบว่า  เป็นนาข้าวที่ถูกแผ้วถางป่าและบ่อน้ำที่มีผู้ครอบครองทำประโยชน์ตามหลักฐานระวางแผนที่ระบุว่าทางสาธารณะที่ปรากฏอยู่ในระหว่างทางสาธารณะอยู่นอกเขตที่ดินนส.แต่สภาพจริงปรากฏว่าหลักเขตที่ดินสาธารณะอยู่นอกถนน  ซึ่งหมายความว่าถนนสร้างอยู่ในเขตที่ไม่ตรงตามหลักฐานที่โจทก์ใช้กล่าวอ้างต่อศาล  อีกทั้งเสาไฟฟ้าสภาพความเป็นจริงอยู่กลางทุ่งนาข้าว  แสดงให้เห็นว่ามีการบุกรุกที่สาธารณะโดยชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง
              

และที่สำคัญพยานปากเอกสำคัญที่ให้การต่อศาลว่าพระและบริวารพุทธศาสนิกชนบุกรุกที่ดินป่าช้าสาธารณะ คือนายต่าย ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านได้ทำการบุกรุกมากถึง 2 ไร่  แต่ประเด็นการฟ้องร้องต่อศาลทำไมองค์การบริหารส่วนตำบลโนนผึ้งที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายอำเภอวารินชำราบไม่ดำเนินการฟ้องร้องผู้ที่บุกรุกป่าช้าสาธารณะไปพร้อมกับพระสงฆ์และบริวาร
             

นายจำรูญศักดิ์  จันทรมัย  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ความสงสัยที่เกิดขึ้น  องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาจึงนำเรียนมายังตน เพื่อเรียนให้พรรคไทยศรีวิไลย์ ได้รับทราบ และ เพื่อขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับประเด็นในเรื่องดังกล่าว  ซึ่งการตั้งกรรมการโดยนายอำเภอในครั้งนั้นและมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยอำนาจและหน้าที่โดยตรงอาจจะไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองและการรายงานดังกล่าว  อำเภอก็ไม่ได้รายงานตรงตามข้อเท็จจริง  จึงมาร้องขอและให้ช่วยดำเนินคดีเกี่ยวกับผู้บุกรุกที่ดินป่าช้าสาธารณะใช้ร่วมกันที่มีมากถึง 10 ไร่ และเอาพื้นที่ดินที่ถูกบุกรุกทั้ง 10 ไร่  คืนภาครัฐและให้ดำเนินคดีเกี่ยวกับข้าราชการที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว หากพบว่า ข้าราชการผู้นั้นได้ใช้อำนาจของตัวเองในทางที่ผิด

หน้าแรก » ภูมิภาค