ระหว่างกำลังทำงานวางสายเคเบิ้ลตัวเชื่อมาสัญญาณบนเสาไฟฟ้า เคราะห์ร้ายเหวี้ยงตะขอไปโดนสายไฟฟ้าแรงสูงเข้า จึงถูกกระแสไฟแรงสูงช็อตร่างจนเสียชีวิตร่างห้อยต่องแต่งอยู่บนเสา ไฟ ท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมงานที่ตกใจขวัญหนีดีผ่อ ต้องประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านำรถกระเช้ามาตัดไฟนำร่างลงมาให้แพทย์ชันสูตรฯ ในสถาพศพที่ไหม้เกรียม แถมทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง
     

เมื่อเวลา 12.00 น.ของวันที่ 3 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ชัยวัชริศ สิงห์สังข์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี กำลังเข้าเวรปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่าเกิดเหตุมีคนถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิตคาเสาไฟเหตุเกิดบริเวณหน้าโรงแรมโรสอินน์ ตั้งอยู่ริมถนนสายกาญจนบุรี-ไทรโยค หมู่ 8 ต.แก่งเสี้ยน อ.เมืองฯ
     

หลังรับแจ้งจึงรีบเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมประสานแพทย์เวร รพ.พหลพลพยุหเสนาฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ ให้มาร่วมชันสูตรพลิกศพ
     

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นผู้ชายแต่งชุดฟอร์มของบริษัทเคเบิ้ลแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในสภาพห้อยโตงเตงอยู่ที่สายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าในสภาพร่างกายถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช๊อตจนร่างไหม้เกรียม
     

จึงโทรศัพท์ประสานไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขา อ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อขอเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า และรถกระเช้ามาทำการตัดกระแสไฟเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตลงมาให้แพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพ โดยใช้เวลาอยู่นานประมาณ 20 นาที จึงสามารถนำร่างผู้เสียชีวิตลงมาได้เป็นผลสำเร็จ
     

จากการตรวจสอบหลักฐานบัตรประจำตัวของผู้ตายทราบชื่อผู้ตายขื่อนายอาแง ไม่มีนามสกุล อายุ 20 ปี สัญชาติเมียนมา จากการสอบสวนปากคำเพื่อนร่วมงาน ขอผู้ตาย 2 คน ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายอาแง ผู้ตายพร้อมกับเพื่อนได้รับคำสั่งจากหัวหน้างานให้มาทำการติดตั้งสายเคเบิ้ล และตัวเชื่อมสัญญาณที่เสาไฟฟ้าจุดเกิดเหตุ
     

โดยใช้อุปกรณ์ปีนเสาขึ้นไปติดตั้งสายเคเบิ้ลและตัวเขื่อมกระจายสัญญาณกัน 3 คนจนเสร็จเรียบร้อย จึงพากันปีนเสาลงมารอเก็บของและอุปกรณ์อยู่ข้างล่าง ส่วนนายอาแง ผู้ตายยังไม่ได้ลงมา กำลังเก็บอุปกรณ์อยู่ๆ นายอาแง ได้เหวี้ยงตะขอพ่วงสายไปถูกสายไฟฟ้าแรงสูงเข้าจึงทำให้ถูกกระแสรไฟฟ้าช๊อตร่างจนเสียชีวิตอยู่บนเสา โดยที่ไม่มีใครกล้าขึ้นไปข่วยเหลือ  เนื่องจากกลัวจะถูกไฟฟ้าช๊อตเข้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ติดตามสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป