วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568 12:14 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

วันศุกร์ ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 08.07 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.77 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.69-32.83 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินจะเบาบางลง เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด Juneteenth ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า เงินบาทก็พอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังมีโอกาสทยอยขึ้นดอกเบี้ย (อัตราเงินเฟ้อ CPI ญี่ปุ่น เดือนพฤษภาคม ที่ออกมาในเช้าวันนี้ ก็ยังอยู่ในระดับสูงถึง 3.5%) สวนทางกับแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านด้วยเช่นกัน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์แถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน

 

แม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Juneteenth ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงราว -0.3% ของสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ล่าสุด

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.83% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.3%

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน แม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นล่าสุด อย่าง Core-Core CPI ก็ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดจะเบาบางลงช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังล่าสุด BOE มีมติ 6-3 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25% ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า BOE ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ 

 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจจากเฟดสาขา Philadelphia นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน  

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หรือ เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลาง ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk จากแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะขึ้นกับพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยในกรณีที่ สถานการณ์ดังกล่าวทวีความรุนแรงและเสี่ยงลุกลาม บานปลายมากขึ้น (เช่น สหรัฐฯ ตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมในการโจมตีอิหร่าน จนนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นจากฝั่งอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance) ก็อาจทำให้ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้โดยรวมเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง (หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลง) ในกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว มีทิศทางที่จะทยอยคลี่คลายลงได้ และอาจเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาเจรจายุติการสู้รบ ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงบ้าง ซึ่งต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ประกอบไปด้วย โดยหากเงินดอลลาร์ทรงตัว หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำปรับตัวลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

 

ทั้งนี้ แม้ว่า เงินบาทจะเผชิญความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจติดโซนแนวต้าน 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทก็อาจขยับขึ้นมาแถว 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวออกจากโซนแนวรับ-แนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน

 

ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ (ล่าสุด เงินบาทก็ยังไม่สามารถผ่านโซนดังกล่าวได้)

 

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.90 บาท/ดอลลาร์