วันจันทร์ ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:13 น.

การเมือง

สื่อสงครามยุคเอไอปมชายแดนไทย-กัมพูชาช่องบก

วันเสาร์ ที่ 02 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 13.48 น.

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์รูปแบบของสงครามสื่อในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะบริบทของความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะของสงครามแบบผสมผสาน (Hybrid Warfare) ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การสู้รบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ การปล่อยข่าวปลอม การโฆษณาชวนเชื่อ และการบิดเบือนข้อมูลผ่านสื่อดิจิทัล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาปลอมที่มีความสมจริงสูง อันเป็นอันตรายต่อการรับรู้ของสาธารณชนอย่างมาก บทความนี้จึงวิเคราะห์ประเด็นของสื่อในสงครามยุคเอไอทั้งในแง่กลไก รูปแบบ ผลกระทบ และแนวทางในการเฝ้าระวังสำหรับภาครัฐและประชาชน

1. บทนำ
สงครามในยุคสมัยใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปะทะด้วยอาวุธระหว่างรัฐอีกต่อไป หากแต่ครอบคลุมถึงการต่อสู้เชิงข้อมูลและจิตวิทยา ผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีพลานุภาพมหาศาล โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตและเผยแพร่ข่าวสาร บริบทของความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณ “ช่องอานม้า” เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ถือเป็นกรณีศึกษาเด่นในการทำความเข้าใจ “สงครามสื่อยุคเอไอ”

2. Hybrid Warfare: รูปแบบสงครามลูกผสมในศตวรรษที่ 21
คำว่า Hybrid Warfare หมายถึง สงครามที่ใช้วิธีการผสมผสานกันอย่างหลากหลาย ทั้งกองกำลังทหารปกติ กองกำลังนอกแบบ และการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations – IO) เพื่อบั่นทอนกำลังใจฝ่ายตรงข้ามและสร้างความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์

ตัวอย่างชัดเจนคือ การใช้สื่อกัมพูชาปล่อยข้อมูลว่าไทยใช้เครื่องบินโปรยสารเคมีในการรบ ซึ่งภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นข่าวปลอม พร้อมภาพที่ถูกสร้างโดย AI ซึ่งมีความสมจริงมากจนยากต่อการแยกแยะ ทำให้สงครามข่าวสารกลายเป็นเครื่องมือหลักในการโน้มน้าวความคิดเห็นของนานาประเทศ

3. AI กับการบิดเบือนข่าวสาร: จาก Deepfake สู่การโฆษณาชวนเชื่อ
หนึ่งในอาวุธทรงพลังที่สุดของสงครามยุคดิจิทัล คือ AI-generated media ที่สามารถสร้าง “ความจริงจำลอง” เช่น คลิปวิดีโอปลอม เสียงปลอม หรือภาพนิ่งปลอม ที่เหมือนจริงจนยากตรวจจับ เครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการผลิตข่าวปลอม สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และบิดเบือนภาพลักษณ์ของศัตรูในสายตาของประชาคมโลก

ผลคือ การสร้างภาพของฝ่ายหนึ่งให้เป็น “ผู้รุกราน” และอีกฝ่ายเป็น “เหยื่อ” โดยใช้เนื้อหาเชิงอารมณ์ที่ปลุกเร้าให้สาธารณชนคล้อยตามได้ง่าย ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการประเมินสถานการณ์อย่างมีเหตุผล

4. ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) และจิตวิทยาสงคราม
ภายใต้สงครามข้อมูลข่าวสาร สื่อกลายเป็นเครื่องมือในการดำเนิน ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological Operations) ผ่านการ “สร้างข่าว” ที่เข้าข่ายการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อควบคุมการรับรู้ของสาธารณชน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีอำนาจระดับสูง และทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม

การเผยแพร่ข่าวด้านเดียว การใช้บัญชีปลอมเพื่อปล่อยข้อมูลเท็จ การแทรกแซงความคิดเห็นสาธารณะในสื่อโซเชียล ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกนี้ ซึ่งต้องการควบคุม “สงครามการรับรู้ (Perception Warfare)” ให้ได้

5. โจมตีไซเบอร์: สนามรบที่มองไม่เห็น
การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Warfare) ยังเป็นอีกหนึ่งแนวรบที่สำคัญในสงครามยุคใหม่ ด้วยวิธีการแฮกข้อมูล ปล่อยมัลแวร์ หรือ DDoS เพื่อทำให้ระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ สื่อมวลชน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐไทยหยุดชะงัก ถือเป็นการโจมตีเพื่อบั่นทอนขีดความสามารถในการสื่อสารของฝ่ายตรงข้ามอย่างมีนัยสำคัญ

6. บทบาทของภาครัฐและประชาชน
ในยุคสงครามไฮบริดแบบเต็มรูปแบบ ภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันภัยไซเบอร์อย่างเข้มงวด และจัดการข่าวปลอมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างระบบคัดกรองข้อมูล การให้ความรู้แก่ประชาชน และการประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN หรือ ICRC เพื่อรักษาความโปร่งใสและสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีโลก

ในขณะเดียวกัน ประชาชน ก็มีบทบาทสำคัญในฐานะ “ปลายทางรับข่าวสาร” ที่ต้องมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ไม่เชื่อและแชร์โดยไม่ตรวจสอบ หลีกเลี่ยงการกดลิงก์ไม่ปลอดภัย และเลือกติดตามข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น สื่อกระแสหลัก หรือประกาศจากทางราชการ

ดังนั้น สงครามในยุคเอไอได้เปลี่ยนสนามรบจากแนวหน้ามาสู่หน้าจอมือถืออย่างเต็มรูปแบบ ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่อาวุธ แต่คือข้อมูลที่ถูกจัดวางเพื่อบิดเบือนให้เกิดความสับสน แตกแยก และบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศ ดังนั้น สติปัญญาและการรู้เท่าทันของประชาชนจึงเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้าย ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากองกำลังทหารในสนามรบ
 

หน้าแรก » การเมือง