วันศุกร์ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567 13:39 น.

ยานยนต์

นิสสัน ประกาศวิสัยทัศน์ Ambition 2030 ขยายศักยภาพของการขับเคลื่อนและก้าวต่อไปในอนาคต

วันจันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564, 13.32 น.
นิสสัน ประกาศวิสัยทัศน์ Ambition 2030 ขยายศักยภาพของการขับเคลื่อนและก้าวต่อไปในอนาคต
 
 
 
 
นิสสัน มอเตอร์ ประกาศวิสัยทัศน์ระยะยาว Nissan Ambition 2030 เพื่อพัฒนาศักยภาพการขับเคลื่อน เพื่อก้าวสู่อนาคต ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความต้องการของลูกค้า ที่นิสสันมีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ขับเคลื่อนโลกสู่สังคมไร้มลพิษ ไร้อุบัติเหต อย่างเท่าเทียม ซึ่งวิสัยทัศน์ของนิสสันจะบูรณาการประสบการณ์การเดินทางของลูกค้าด้วยความมั่นใจ น่าตื่นเต้น และส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศน์ที่ชาญฉลาด (Smart ecosystem) ที่พร้อมจะบูรณาการกับการขับเคลื่อนอัจฉริยะ
 
ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้านิสสันจะนำเสนอยานยนต์ที่น่าตื่นเต้น ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีพร้อมกับขยายการดำเนินงานไปทั่วโลก  โดยวิสัยทัศน์ Ambition 2030 จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของนิสสันไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิเพิ่มขึ้น (Carbon neutral) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2593
มาโกโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน กล่าวว่า "องค์กรเอกชนมีบทบาทสำคัญในการช่วยตอบสนองความต้องการของสังคม วิสัยทัศน์ Ambition 2030 ของนิสสันนี้ จะพาเราก้าวสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีอัจฉริยะจะถูกนำมาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ (carbon footprint) และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพราะเราต้องการเปลี่ยนให้นิสสันเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่ลูกค้าและสังคมต้องการอย่างแท้จริง”
เร่งการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าด้วยทางเลือกและประสบการณ์ที่หลากหลาย
 
ในฐานะผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) นิสสันทำให้ทุกคนสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ และได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟ และการบริหาจัดการรพลังงาน โดยกำหนดให้การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นกลยุทธ์ระยะยาวหลักของบริษัท วิสัยทัศน์ Ambition 2030 ตั้งเป้าที่จะเร่งพัฒนาการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในหลายๆ ผลิตภัณฑ์ทพร้อมขยายการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี ด้วยเงินลงทุน 2 ล้านล้านเยนภายในระยะเวลา 5 ปี
 
ลูกค้ามีความต้องการใช้รถยนต์ที่น่าตื่นเต้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย นิสสันจะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีอีก 23 รุ่น โดยมีรถยนต์ไฟฟ้า 15 รุ่นภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2573 และมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 50% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่จำหน่ายทั่วโลกทั้งในแบรนด์นิสสัน และอินฟินิตี้ 
ในอีก 5 ปีข้างหน้า นิสสันจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า และอี-พาวเวอร์ อีก 20 รุ่น ในตลาดวอร์ (e-POWER) รุ่นใหม่ 20 รุ่น ในการจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในตลาดสำคัญต่างๆ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ดังนี้
 
• ยุโรปจะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มากกว่า 75% ของยอดขาย
 
• ประเทศญี่ปุ่น จะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มากกว่า 55% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (passenger vehicle) 
 
• ในประเทศจีนจะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มากกว่า 40% 
 
• ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มากกว่า 40% ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2573
 
“นิสสันภูมิใจในความเป็นผู้บุกเบิกด้านนวัตกรรม และประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงบทบาทในการปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้า EV ด้วยเป้าหมายใหม่ของนี้นิสสันจะเป็นผู้นำในการพาโลกมุ่งสู่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยการนำเสนอยนตรกรรมที่น่าตื่นเต้น สร้างการเปิดรับต่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และสร้างโลกที่สะอาดกว่าเดิม” อัชวานี กุปตา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของนิสสัน (Nissan COO Ashwani Gupta) กล่าว
 
 
เพื่อยืนยันว่าก้าวต่อไปของนิสสันในการก้าวสู่ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมวันนี้นิสสันได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะในรูปแบบใหม่ รถยนต์ต้นแบบสะท้อนถึงความน่าตื่นเต้นที่เป็นไปได้จริงซึ่งนิสสันต้องการจะนำเสนอให้ผ่านยานยนต์อัจฉริยะ และระบบนิเวศน์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
 
พบกับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ต้นแบบที่น่าตื่นเต้นเได้ที่เว็บไซต์ของนิสสันได้ ที่นี่ 
 
ทุกคนจะสามารถเข้าถึงนวัตกรรมในการขับเคลื่อนนิสสันต้องการให้ทุกคนได้รับความปลอดภัย พร้อมกับความตื่นเต้นจากยนตรกรรม และเพื่อทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริง นิสสันยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และนำเสนอเทคโนโลยีปราศจากโคบอลต์ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนลงถึง 65% ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 
 
นิสสันตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรถยนต์ EV ที่ใช้ all-solid-state batteries (ASSB) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2571  ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของนิสสัน มอเตอร์ นำร่องโดยโรงงานในเมืองโยโกฮาม่า ภายในปีงบประมาณ  พ.ศ. 2567 การเปิดตัว ASSB เป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของนิสสันที่ทำให้ขยายรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ASSB จะเพิ่มสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้าโดยจะใช้ระยะเวลาในการชาร์จไฟฟ้าเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ASSB จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น และครอบคลุมในทุกความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ นิสสันคาดว่า ASSB จะทำให้ราคาของแบตเตอรี่ลดลงเหลือเพียง 75 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ    ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 และจะลดลงเหลือ 65 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อให้ต้นทุนระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เบนซินมีความใกล้เคียงกันมากขึ้นในอนาคต
นิสสันได้เพิ่มโอกาสในการการผลิตแบตเตอรี่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรองรับการขยายตัวของประชากรรถยนต์ไฟฟ้าโดยร่วมมือกับพันธมิตร นิสสันมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการผลิตแบตเตอรี่ทั่วโลก  52 GWh (จิกะวัตต์ชั่วโมง) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และเพิ่มเป็น 130 GWh (จิกะวัตต์ชั่วโมง) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2573
 
วิสัยทัศน์ Ambition 2030 นิสสันยังจะเพิ่มเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ รวมถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะอื่นๆ ให้กับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งนิสสันจะยังคงมองหาโอกาสรวบรวมเอาบริการทุกอย่างในด้านการขนส่งมาไว้ในพื้นที่ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้มากที่สุดร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ 
 
 
นิสสันตั้งเป้าที่จะขยายเทคโนโลยี ProPILOT ระบบขับขี่อัตโนมัติอัจฉริยะของนิสสัน และอินฟินีตี้รวม 2.5 ล้านคันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นิสสันยังจะพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติ (autonomous) ต่อไป โดยมีเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบ LIDAR  รุ่นต่อไปในรถยนต์รุ่นใหม่ทุกรุ่นภายในปีงบประมาณ 2573
และเพื่อตอบสนองรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายในแต่ละประเทศ นิสสันจะร่วมมือกับพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้บริการด้านการเดินทางรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเมือง และการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้นในพื้นที่ชนบท
 
ระบบนิเวศระดับโลกสำหรับการขับเคลื่อนและก้าวต่อไปในอนาคต
 
นอกจากการยกระดับเทคโนโลยีแล้ว นิสสันเลือกที่จะจ้างแรงงานในท้องถิ่น และจัดหารทรัพยากรสำหรับการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้า นิสสันจะขยายแแนวคิดสร้างศูนย์กลางรถยนต์ไฟฟ้าที่ แนวคิด EV36Zero ซึ่งเปิดตัวในสหราชอาณาจักรไปยังตลาดหลักอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน และ สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ แนวคิด EV36Zero เป็นระบบนิเวศการผลิต และการบริการแบบบูรณาการ โดยเชื่อมโยงการขับเคลื่อน และบริหารจัดการพลังงานเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิ 
 
และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่ของรถยนต์นั้นจะถูกใช้เพื่อความยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องที่นิสสันเล็งเห็นและให้ความสำคัญมาโดยตลอดและประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น (Repurposing) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycling) ที่นิสสันมีใน 4R Energy นิสสันจะขยายกระบวนการการนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่ในประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่น เช่น ยุโรปในช่วงปีงบประมาณพ.ศ. 2565 และในสหรัฐอเมริกา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งการก่อลงทุนในกระบวนการนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่จะสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในการจัดการพลังงาน นอกจากนี้ยนิสสันยังมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมธุรกิจที่ vehicle-to-everything และแบตเตอรี่เพื่อที่อยู่อาศัยในช่วงกลางทศวรรษ 2020 พร้อมกับการลงทุนในสถานีชาร์จไฟฟ้าอีก 2 หมื่นล้านเยน ภายในปีพ.ศ.  2569
 
ในขณะที่นิสสันเพิ่มความสำคัญในด้านการพัฒนานวัตกรรมในการขับเคลื่อน โดยการเพิ่มจำนวนนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงทั่วโลกอีก 3,000 ตำแหน่ง ส่งเสริมการเพิ่มทักษะให้กับพนักงานของบริษัทในปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทจะสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อลดค่าใช้จ่ายและแบ่งปันความเชี่ยวชาญในด้าน ต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ซอฟต์แวร์ และการบริการต่าง ๆ 
 
 
นอกเหนือจากแผนยุทธศาสตร์  NEXT transformation แล้ว นิสสันจะสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว โดยมีเป้าหมายที่จะมีผลกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 5%
 
 
###
 
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ที่ nissan.co.th, Facebook, Instagram, Twitter และ  YouTube
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การบริการ และความมุ่งมั่นในการนำเสนอยานยนต์เพื่อความยั่งยืน สามารถติดตามได้ที่ nissan-global.com, Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn และรับชมวีดีโอล่าสุดที่ YouTube