หนุ่มโรงงาน อ.โคกโพธิ์ไชย ขอนแก่น ยิงภรรยาและแม่ยายจนเสียชีวิตในบ้าน ก่อนลั่นไกยิงตัวเองตายตาม ล่าสุดครอบครัวสองฝ่ายตั้งงานศพเศร้า แม่ฝ่ายชายเผยลูกโทรมาฝากเลี้ยงหลาน 2 คน หลังสารภาพกับแม่ว่ายิงภรรยาตายแล้ว ขณะที่ญาติฝ่ายหญิงไม่เชื่อมีเรื่องชู้สาว
    

เมื่อเวลา 02.40 น. วันที่ 17 ม.ค.2567 ได้เกิดเหตุยิงกันตายเสียชีวิตรวม 3 ศพ โดย นายไกรภพ หรือบอย ชารีชัย อายุ 39 ปี ใช้อาวุธปืนสั้น แม็กกาซีน ขนาด 9 มม. ยิง นางชนัดดา ชารีชัย อายุ 35 ปี ภรรยา และนางมณี เหล่าคนค้า อายุ 52 ปี แม่ยายคนก่อเหตุและแม่ของฝ่ายหญิง ก่อนจะใช้อาวุธปืนกระบอกเดียวกันติงตัวเองตายตาม เหตุเกิดภายในบ้านเลขที่ 74 ม.9 บ้านหนองทุ่ม ต.บ้านโคก อ.โคกโพธิ์ไชย จ.ขอนแก่น

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ม.ค.2567 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านของฝ่ายหญิง ที่บ้านเลขที่ 74 ม.9 ซึ่งครอบครัวและญญาติๆ ช่วยกันจัดสถานที่งานศพของแม่ลูกที่เสียชีวิต คือ นางชนัดดา ชารีชัย อายุ 35 ปี ภรรยา และ นางมณี เหล่าคนค้า อายุ 52 ปี แม่ยาย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจของญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านที่เดินทางมาร่วมงานศพในวันนี้ โดยผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายสุวิทย์ แต้มสี อายุ 55 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พาผู้สื่อข่าวดูจุดเกิดเหตุภายในบ้าน โดยจุดที่ภรรยาและแม่ยายของนายไกรภพ นอนเสียชีวิตนั้น อยู่กลางโถง สภาพที่มาเห็นคือ ฝ่ายหญิงนอนหงายเสียชีวิต ถูกยิงช่วงหน้าอก 3 นัด มีแม่ผู้ตายซึ่งเป็นแม่ยายคนยิง นอนคว่ำทับอยู่ ลักษณะเหมือนป้องกันลูกเอาไว้ ถูกยิงที่หลัง 3 นัด ส่วนนายไกรภพ นอนหงายเสียชีวิตอยู่ใกล้ๆกัน และปืนกระเด็นตกที่หน้าทีวี ซึ่งหลังยิงภรรยาและแม่ยายแล้ว ได้ใช้ปืนยิงที่ใต้ราวนมซ้าย 2 นัด เสียชีวิตตามทั้งคู่ไป
   

นายสุวิทย์ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตนเองเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีบ้านอยู่ด้านหลังบ้านเกิดเหตุ ประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ตนเองนอนหลับอยู่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด ก่อนจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ ตนเองจึงถามภรรยาว่าเสียงใคร จึงออกมาดูหน้าประตูบ้านตัวเอง ก็ไม่เห็นใคร จึงเดินมาบ้านเกิดเหตุ ได้ยินเสียงปืนอีก แต่ได้ยินใกล้ๆตนเองมาก จึงรีบโทรหาตำรวจ ตำรวจมาประมาณ 6 ทุ่ม ก็เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งตอนนั้นตนเองคิดว่าไม่มีใครเหลือแล้ว ในบ้านมีนายบอย คือคนยิง มีภรรยา แม่ยาย และลูกนายบอยกับภรรยาอีก 2 คนและหลานชายในบ้าน จึงเข้าไปดูก็พบว่าเสีชีวิต 3 คน และเจอลูกของคนตาย เป็นลูกชาย 6 ขวบ และลูกสาว 4 ขวบ ในห้องนอนจึงอุ้มออกมาจากบ้าน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีใครทราบว่าเพราะอะไร หรือสาเหตุมาจากอะไร เพราะวันเกิดเหตุนั้น เป็นวันเกิดฝ่ายหญิง ทั้งคู่พากันไปเที่ยวในเมืองขอนแก่น กลับมาก็เกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งในช่วงเย็นก่อนไปเที่ยวนั้น ทุกคนมานั่งทานข้าวกันสนุกสนาน รวมญาติกันเนื่องในวันเกิดต่าย ไม่มีเค้าลางอะไรจะบอกว่าจะเกิดเหตุนี้ขึ้น ในเฟซบุ๊กลงว่าเป็นเรื่องชู้สาวก็ไม่เคยเห็นว่าจะมี ที่ผ่านมาฝ่ายหญิง ซึ่งตรงนี้ตนเองก็ไม่ทราบ ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วกัน นานๆจะมาหากันช่วงเทศกาล ก็ปกติดี ไม่เคยมีการทะเลาะกัน

ด้าน นาย จตุมงคล เฟล่าคนค้า อายุ 19 ปี หลานชายผู้ตาย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองสะดุ้งตื่นจากเสียงปืนดังในบ้าน เปิดประตูห้องออกมาดูก็พบน้าบอยยืนถือปืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องนอน แล้วบอกตนเองว่าอย่ามายุ่ง ตนเองจึงรีบกลับเข้าห้องไป พร้อมกับเปิดหน้าต่างเอาไว้ ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก ซึ่งเป็นจังหวะที่เห็นยายตนเอง ซึ่งเป็นญาติอีกคนจึงรีบวิ่งไปหายายทันที ก่อนจะวิ่งไปเรียกญาติมาช่วย พอมาถึงก็พบน้าบอยนอนตายอยู่ข้างๆโซฟาในห้องโถงแล้ว จนกลายเป็นเหตุสลดดังกล่าวขึ้น
   

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านของนาย ไกรภพ หรือนายบอย คนก่อเหตุ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันหมู่บ้านเดกียวกัน โดยพบว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้าไม่ต่างกัน แม่ของนายบอย นั่งร้องไห้ข้างโลงศพลูกชายไม่ไปไหน โดยมีญาติพี่น้องเข้ามาช่วยพะยุงและดูแลตลอดเวลา ขณะเดียวกันเพื่อนของนายบอยที่ทราบข่าวต่างพากันมาร่วมงานศพ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาไม่คิดว่าเพื่อนจะคิดสั้น

นางจันทร์ ชารีชัย อายุ 67 ปี แม่นายบอยเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า วันนี้ลูกชายตั้งใจจะเดินทางกลับชลบุรีวันนี้ ตนเองเตรียมของฝากให้กับลูกชายและหัวหน้าลูกชายไว้ พอ 4-5 โทรมาบอกแม่ว่า ฝากเลี้ยงลูกหน่อย และบอกว่าฆ่าต่ายตายแล้ว ตนเองจึงรีบวิ่งไปดูทันที แม่ก็ถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ลูกชายก็ไม่เคยพูดไม่เคยบอก ปกติลูกชายมาก็จะนอนที่บ้านภรรยาไม่ค่อยมาที่บ้านตัวเอง จึงไม่ทราบว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร
   

ส่วน พ.ต.อ.นำชัย ศรีเวียง ผกก.สภ.โคกโพธิ์ไชย เปิดเผยกับผู่สื่อข่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากเหตุชู้สาว เนื่องจากผู้ก่อเหตุได้ใช้เฟสบุ๊คส่วนตัวโพสต์ข้อความว่าภรรยาของตนมีชู้และมีปากเสียงกันจึงได้ลงมือก่อเหตุ โดยมูลเหตุและสาเหตุที่แท้จริงจะทำการสืบสวนสอบสวนให้ทราบต่อไป.