นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดสัมมนาทดสอบความสนใจของภาคเอกชน (Market Sounding) โครงการท่าอากาศยานนครปฐม ว่าสำหรับแผนโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานนครปฐมนั้น เพื่อเป็นการรองรับการเดินทางทางอากาศ ทั้งนี้ เนื่องจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ขณะนี้ล้นการรองรับแม้จะมีการพัฒนา ทั้งการเพิ่มรันเวย์ หรือการเพิ่มหลุดจอด รวมถึงแผนการเพิ่มอาคารผู้โดยสารแล้ว ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอต้องการให้บริการ ยกตัวอย่างเครื่องบิน Private Jet (เครื่องบินส่วนตัว) โดยมีประมาณ 2,000 เที่ยว/ปี ที่จะบินเข้ามาใช้ บริการ ซึ่งไม่สามารถให้บริการได้เต็มศักยภาพ 

 

       

อย่างไรก็ตาม กรมท่าอากาศยาน (ทย.) มีแผนที่จะก่อสร้างท่าอากาศยาน จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งสนามบินนครปฐม โดยศึกษาความต้องการใช้ท่าอากาศยาน ควบคู่การพิจารณาด้าน เศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2561 ที่ผ่านมา เบื้องต้นผลการศึกษาพบว่า พื้นที่อำเภอบางเลน และอำเภอนครชัยศรี มีความหมาะสมในการก่อสร้างท่าอากาศยานนครปฐมมากที่สุด เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที และห่างจากโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี ประมาณ 5.3 กิโลเมตร รวมถึงระบบขนส่งทางราง ทั้งนี้จากการออกแบบโครงการฯใช้พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 3,500 ไร่ รองรับทางวิ่งขนาด45X 2,500 เมตร อาคารที่พักผู้โดยสาร 3 อาคาร พื้นที่ประมาณ 115,740 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้ 5,100 คนต่อชั่วโมง อาคารและลานจอดรถ จอดรถได้ประมาณ 4,200 คัน

 

         

“ที่ผ่านมา มีทั้งประชาชนในพื้นที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับผลกระทบ จึงเสนอให้ย้ายพื้นที่ไปสร้างที่อ.กำแพงแสน อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่อ.กำแพงแสนนั้น เป็นโรงเรียนการบินและเป็นพื้นที่ทางการทหารจึงไม่มีความสมเหมาะ แต่จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนอีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำการศึกษามาประมาณ 10แห่ง พบว่าบริเวณดังกล่าวมีความเหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากพื้นที่ที่เป็นจุดเชื่อมโครงสร้างพื้นฐาน อย่างโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี / มีจุดเชื่อมระบบราง และใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย มองไทยจะได้รับประโยชน์ สำหรับโครงการก่อสร้างดังกล่าวมีวงงบประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท” นายถาวร กล่าว

           

สำหรับรูปแบบการลงทุน ได้ทำการวิเคราะห์เป็น 3 กรณีซึ่งการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเกี่ยวกับการลงทุน ในครั้งนี้เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คาดว่าจะสรุปผลการศึกษาแล้วเสร็จกลางปี 2563 จากนั้นจะนำเสนอกระทรวงคมนาคม และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติดำเนินโครงการต่อไป หากเป็นไปตามแผนจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี พร้อมเปิดให้บริการในปี 2569 มีอายุสัมปทาน 30 ปี สามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารได้กว่า 30 ล้านคน และมีจำนวนเที่ยวบินเชิงธุรกิจประมาณ 11,770 เที่ยวบินในปี 2589