เศรษฐกิจ
ดีพร้อม โชว์พลังคลัสเตอร์หุ่นยนต์ดันเอสเอ็มอีไทยไปสู่ยุค 4.0
วันพุธ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564, 12.11 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

ดีพร้อม โชว์พลังคลัสเตอร์หุ่นยนต์ดันเอสเอ็มอีไทยไปสู่ยุค 4.0
ดีพร้อม โชว์พลังคลัสเตอร์หุ่นยนต์ รวมกลุ่มฝ่าวิกฤตสร้างระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ ลดนำเข้า ตปท. พร้อมเตรียมเปิดทางสร้างพันธมิตรธุรกิจหุ่นยนต์ หวังดันเอสเอ็มอีไทยไปสู่ยุค 4.0
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม โชว์ความสำเร็จการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ ชี้คลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมีความแข็งแกร่ง สามารถรวมกลุ่มและผลักดันการนำหุ่นยนต์ไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมได้จริง มีมูลค่าจากเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกันกว่า 95 ล้านบาท พร้อมด้วยความสำเร็จของการพัฒนาระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ Low Cost Automation ซึ่งทำให้ธุรกิจในกลุ่มสามารถมีระบบอัตโนมัติช่วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตในราคาที่เอื้อมถึงได้ คืนทุนได้เร็วเฉลี่ยประมาณ 12 เดือน
และมีราคาที่ถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยดีพร้อมยังได้วางแนวทางในการต่อยอดให้กลุ่ม SMEs มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดึงสถานประกอบการที่มีความต้องการใช้หุ่นยนต์เข้ามาร่วมในกลุ่มคลัสเตอร์ การส่งเสริมและเชื่อมโยงผ่านกลไกด้านการเงิน การดึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านระบบอัตโนมัติมาช่วยให้ความรู้กับผู้ประกอบการในคลัสเตอร์ และส่งเสริมแผนงานด้านการตลาด เพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น
นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายผลักดัน 12 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ก็ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ ด้วยนโยบายดังกล่าว ดีพร้อม จึงเร่งพัฒนาและฟื้นฟูผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวผ่านการสร้างและพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ คลัสเตอร์ (Cluster) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างนวัตกรรมร่วมกัน ตลอดจนบูรณาการการทำงานระหว่างกันได้ โดย ดีพร้อม ได้ดำเนินการพัฒนาคลัสเตอร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 – ปัจจุบัน โดยมีกลไกและกระบวนการพัฒนาตั้งแต่การกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการรวมกลุ่ม การพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็ง การพัฒนาธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมให้เติบโต เข้มแข็ง และยั่งยืน โดยเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เครื่องมือและกระบวนการอันสำคัญหนึ่งที่จะนำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศได้คือการพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ หรือ "คลัสเตอร์" ซึ่งมีจำนวนกลุ่มอุตสาหกรรมที่พัฒนามาแล้วอย่างต่อเนื่อง จำนวน 123 กลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และสิ่งที่น่าสนใจพบว่าเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย 11 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนเป็นการปูทางสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
สำหรับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก และถือเป็นก้าวสำคัญของ SMEs 4.0 คือ “คลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ” ซึ่งได้รวมตัวและบูรณาการการทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2562 ประกอบด้วยธุรกิจ SMEs จำนวน 22 บริษัทมีเป้าหมายและจุดยืนร่วมกันคือการเพิ่มกำลังการผลิต การลดนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ การนำความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัทมาช่วยแก้จุดอ่อน (Pain Point) ของพันธมิตรภายในคลัสเตอร์ รวมถึงผลักดันให้ธุรกิจ SMEs มีโอกาสได้ใช้หุ่นยนต์เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
ด้านกำลังแรงงาน และการลดต้นทุนด้านต่าง ๆ เนื่องจากในปัจจุบันจะพบว่าการใช้หุ่นยนต์ในโรงงานของประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับสถานประกอบการขนาดใหญ่เท่านั้น มี SMEs จำนวนน้อยที่ใช้ระบบดังกล่าวในการจัดการกระบวนการผลิต เพราะส่วนใหญ่ยังคงเป็นการใช้เครื่องจักร รวมถึงเทคโนโลยีมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
“สิ่งสำคัญที่ ดีพร้อม พยายามพัฒนาและยกระดับคลัสเตอร์ให้มีความเข้มแข็งได้มุ่งเน้นทั้งการกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการรวมกลุ่ม เพื่อปรับเปลี่ยนแนวความคิดจากเดิมที่ต่างคนต่างทำหรือต่างคนต่างเก่ง เปลี่ยนการดำเนินงาน
จากการแข่งขันเพียงเพื่อความอยู่รอดของตัวเองฝ่ายเดียวมาเป็นพันธมิตร พร้อมวิเคราะห์สถานภาพของกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้ธุรกิจในคลัสเตอร์ทราบถึงระดับความสามารถในการแข่งขัน และนำสิ่งต่าง ๆ มาเติมเต็มได้ รวมถึงยังได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับความต้องการการพัฒนาธุรกิจ ผลักดันเวทีหรือกิจกรรมการปฏิบัติจริง
ทั้งในด้านการทดสอบตลาด การพัฒนาบุคลากร การใช้เทคโนโลยี และยังติดตามความสำเร็จ และเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนากลุ่มคลัสเตอร์อื่น ๆ ต่อไป”
นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ดีพร้อม ยังได้มีการติดตามผลลัพธ์ ซึ่งพบว่าสิ่งที่คลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติประสบความสำเร็จ คือ มีการซื้อขายระบบเทคโนโลยีรวมถึงหุ่นยนต์ระหว่างกันคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 95 ล้านบาท หรือ 4.75 ล้านบาทต่อกิจการ พร้อมด้วยความสำเร็จของการพัฒนาระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ Low Cost Automation ซึ่งทำให้ธุรกิจในกลุ่มสามารถมีระบบอัตโนมัติช่วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตในราคาที่เอื้อมถึงได้ คืนทุนได้เร็วเฉลี่ยประมาณ 12 เดือน และมีราคาที่ถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศเฉลี่ย 300,000 – 500,000 บาท จากปกติที่ต้องนำเข้าในราคาระดับหลักล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดีพร้อม ยังมีแนวทางในการต่อยอด
ให้กลุ่ม SMEs มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 1. การดึงกลุ่มสถานประกอบการที่มีความต้องการใช้หุ่นยนต์เข้ามาร่วมในกลุ่มคลัสเตอร์ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ผู้พัฒนาระบบทราบถึงความต้องการ
ของพันธมิตร และต่อยอดสู่เทคโนโลยีเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น 2. การส่งเสริมและเชื่อมโยงผ่านกลไกด้านการเงิน พร้อมให้ความรู้กับผู้ประกอบการได้เห็นถึงสิทธิประโยชน์จากการนำหุ่นยนต์มาใช้ เช่น มาตรการด้านภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราต่ำ รวมถึงจัดทำข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอด้านการเงินสำหรับ SMEs เพื่อใช้ในการขอสินเชื่อจากกองทุนและจากธนาคารพาณิชย์ 3. จัดหาหรือดึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ / ประสบการณ์ในด้านระบบอัตโนมัติรวมถึงหุ่นยนต์มาช่วยให้ความรู้ หรือเทคนิคสำคัญให้กับผู้ประกอบการในคลัสเตอร์ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านที่ปรึกษา พร้อมช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพได้มากขึ้น และ
4. ส่งเสริมแผนงานด้านการตลาด เนื่องจากในปัจจุบันแม้คลัสเตอร์จะเริ่มประสบความสำเร็จในการแบ่งปัน - ซื้อขายเทคโนโลยีระหว่างกัน แต่ยังจำเป็นต้องทำให้เกิดการซื้อขายนอกกลุ่ม หรือช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้เกิดมูลค่าและการเป็นที่รู้จักที่มากขึ้นต่อไป
ด้าน นายพชระ แซ่โง้ว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิคัล เวิร์คส์ จำกัด ผู้ผลิตแขนกลยูนิบอท และบอร์ดบริหารคลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวคิดในการผลิตหุ่นยนต์เพื่อเชิงพาณิชย์และแบ่งปันให้ธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะพันธมิตรในกลุ่มคลัสเตอร์ได้มีเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากในท้องตลาดมีราคาค่อนข้างสูง โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นแขนกลที่สามารถเลือกปรับแต่งระบบการทำงานตามความต้องการได้ สามารถนำไปใช้ทำงานได้หลากหลาย และตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะด้าน มีราคาที่จับต้องได้ โดยราคาทั้งหมด
รวมค่าบริการการซ่อมบำรุงและระบบที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี สำหรับกระบวนการผลิตแขนกลนั้น ต้องยอมรับว่าการได้เข้าร่วมกับคลัสเตอร์มีส่วนช่วยให้ประสบผลสำเร็จอย่างมากเพราะการพัฒนาเพียงลำพังนั้นไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีผู้พัฒนาระบบ มีพื้นที่ทดสอบ มีผู้เชี่ยวชาญในการช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งในกลุ่มนี้แม้จะมีพันธมิตรเพียงหลัก 20 ราย แต่ทุกคนสามารถช่วยเหลือกันได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ นายสมควร จันทร์แดง กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูเนี่ยน แอพพลาย จำกัด สมาชิกคลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ผลิตภายในกลุ่มมีความพึงพอใจต่อเทคโนโลยี
ที่ได้รับอย่างมาก ทั้งด้วยราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งโรงงานของตนได้มีการนำแขนกลของ บริษัท ยูนิคัล เวิร์คส์ ซึ่งเป็น 1 ในสมาชิกคลัสเตอร์หุ่นยนต์ฯ มาใช้ในกระบวนการผลิตกระบอกไฮโดรลิก โดยเมื่อวิเคราะห์ถึงการลดต้นทุนในภาพรวมพบว่า 1 แขนกลสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 10.4 เดือน ลดแรงงานที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ ได้ 2 คน คิดเป็นมูลค่า 252,000 บาทต่อปี ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องจักรได้ถึง 3 เครื่อง สามารถผลิตชิ้นส่วนกระบอกไฮโดรลิกจาก 18,000 ชิ้น เป็น 42,000 ชิ้นต่อปี คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการผลิต 113% จากเดิมที่มีมูลค่า 130,680 บาท/ปี เป็น 278,760 บาท/ปี และยังลดค่าซ่อมบำรุงและค่าเสื่อมสภาพได้ถึง 130,000 บาทต่อปี จากเดิม ที่ต้องใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวที่ 240,000 บาท
นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว ทางยูเนี่ยน แอพพลาย ยังเล็งเห็นถึงการนำหุ่นยนต์เข้ามาอำนวยความสะดวกในโรงงานไม่ว่าจะเป็นการจัดการโควิด – 19 ในองค์กร ซึ่งหุ่นยนต์จะช่วยตอบโจทย์กับมาตรการเว้นระยะห่าง และช่วยทำงานแทนมนุษย์ในกรณีที่หากมีการติดเชื้อ รวมถึงมีแผนนำมาใช้ในการทดแทนแรงงานที่ต้องทำงานเสี่ยงๆ ซ้ำ ๆ โดยที่ให้ผลตอบแทนน้อย และจะพัฒนาแรงงานส่วนที่ถูกทดแทนให้มีทักษะในการควบคุม หรือใช้งานหุ่นยนต์
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพโดยที่ไม่ต้องสูญเสียแรงงานอย่างสูงสุด นอกจากนี้ยังมีแผนงานในการร่วมมือกับกลุ่มคลัสเตอร์เพื่อพัฒนาระบบรีโมท - ติดตามหุ่นยนต์ในระยะไกล ซึ่งจะทำให้ผู้พัฒนาและผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกันได้แบบเรียลไทม์
โดยที่ไม่ต้องเดินทางถึงกัน พร้อมทั้งแผนในการดึง SMEs รายอื่น ๆ ที่ต้องการใช้หุ่นยนต์ให้เข้ามาในกลุ่ม ซึ่งจะทำให้มีความแข็งแกร่ง และจับมือกันไปสู่ SMEs 4.0 ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลได้วางเอาไว้
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่