วันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 15:56 น.

เศรษฐกิจ

เปิดตัวพันธุ์งา “อุบลราชธานี 3” ให้ผลผลิตสูงกว่า 200 กิโลกรัมต่อไร่

วันจันทร์ ที่ 07 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565, 14.25 น.

กรมวิชาการเกษตร  เปิดตัวพันธุ์งา“อุบลราชธานี 3” ให้ผลผลิตสูงกว่า 200 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มปริมาณน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่า 46 เปอร์เซ็นต์  ต้านทานแมลงศัตรูมวนฝิ่นสีเขียว  หนุนปลูกสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรปลูกได้ตลอดปี  

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565  นางสาวอิงอร  ปัญญากิจ  รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร  เปิดเผยว่า  ล่าสุดคณะนักวิจัยของศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี  กรมวิชาการเกษตร ได้วิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงที่ให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นกว่าพันธุ์เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณผลผลิตงาของประเทศเพิ่มมากขึ้นเพียงพอต่อความต้องการของตลาดและทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน โดยได้รวบรวมสายพันธุ์งาที่ได้จากธนาคารเชื้อพันธุ์พืชของสหรัฐอเมริกาและที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน อิรัก ญี่ปุ่น อัฟกานิสถาน เมียนมาร์ รวมทั้งสายพันธุ์พื้นเมืองในประเทศจำนวน 77 สายพันธุ์ มาปลูกขยายพันธุ์และศึกษาลักษณะทางการเกษตรในแปลงรวบรวมและศึกษาพันธุ์งา และทำการคัดเลือกพันธุ์แบบสายพันธุ์บริสุทธิ์  คัดเลือกได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะทางการเกษตรและให้ผลผลิตดี จำนวน 23 สายพันธุ์ จากนั้นนำเข้าประเมินพันธุ์ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์งาแดงเพื่อให้ผลผลิตสูง ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การรวบรวมและศึกษาพันธุ์  การคัดเลือกพันธุ์ และการประเมินพันธุ์โดยการเปรียบเทียบเบื้องต้น  เปรียบเทียบมาตรฐาน  เปรียบเทียบในท้องถิ่น  และเปรียบเทียบในไร่เกษตรกรที่จังหวัดอุบลราชธานี นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์   ศึกษาข้อมูลจำเพาะของพันธุ์โดยประเมินความต้านทานโรคและความต้านทานต่อแมลงศัตรูที่สำคัญของงา  จนได้งาแดงสายพันธุ์ RSMUB54-12 ที่มีเสถียรภาพในการให้ผลผลิตดีและมีลักษณะเด่นตามที่ต้องการคือให้ผลผลิตและปริมาณน้ำมันสูง  จึงเสนอคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร  พิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี  2564 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 3”

ทั้งนี้งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 3 มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตเฉลี่ยในแหล่งปลูกสำคัญที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ จำนวน 216 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งสูงกว่างาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 ที่ให้ผลผลิต 192 กิโลกรัม/ไร่ และงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 2 ให้ผลผลิต 206 กิโลกรัม/ไร่ และยังให้ปริมาณน้ำมันเฉลี่ยสูง 46.4%  รวมทั้งยังมีความต้านทานต่อการทำลายของศัตรูพืชมวนฝิ่นสีเขียว  เหมาะสำหรับปลูกในแหล่งปลูกที่สำคัญ และสภาพการผลิตพืชไร่ทั่วไป  โดยเกษตรกรสามารถปลูกสร้างรายได้เสริมได้ตลอดทั้งปี
 
“งาเป็นพืชไร่ที่เกษตรกรปลูกเป็นพืชเสริมรายได้ ทั้งงาแดง งาขาว งาดำ โดยเกษตรกรจะนิยมปลูกงาแดงมากที่สุดเนื่องจากปลูกง่าย  และมีความทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ   คณะนักวิจัยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี  ซึ่งมีนายธำรง เชื้อกิตติศักดิ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ เป็นหัวหน้าทีมวิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงจนประสบผลสำเร็จ ได้งาแดงพันธุ์ใหม่ "อุบลราชธานี 3" ที่มีลักษณะโดดเด่นให้ผลผลิต และปริมาณน้ำมันสูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 และอุบลราชธานี 2 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น” นางสาวอิงอร  กล่าว

อย่างไรก็ตามงาถือเป็นพืชไร่น้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์เกือบทุกชนิด รวมทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง  ช่วยชะลอวัย จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเกษตรกรจะปลูกเป็นพืชเสริมรายได้ก่อนหรือหลังพืชหลักทำให้พื้นที่ปลูกงาของเกษตรกรอยู่ในวงจำกัด และจากสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนส่งผลให้ผลผลิตงาบางปีเกิดความเสียหาย ได้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ทำให้ผลผลิตงาไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั้งที่งาเป็นพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 90 วัน และต้องการการดูแลรักษาน้อย โดยเฉพาะบางปีงาเป็นพืชที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรสูงกว่าพืชหลัก