วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 08:30 น.

เศรษฐกิจ

“สุพัฒนพงษ์”ชูไทยลดนำเข้าพลังงาน ดันอุตสาหกรรมใหม่-พลังงานสะอาด

วันพฤหัสบดี ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 17.17 น.
“สุพัฒนพงษ์”ชูไทยลดนำเข้าพลังงาน
 ดันอุตสาหกรรมใหม่-พลังงานสะอาด
 
 
“สุพัฒนพงษ์” เร่งขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 หวังปูทางไทยลดพึ่งพิงนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและLNG ในอนาคต  หวังสร้างอุตสาหกรรมใหม่ทั้งพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า ดึงดูดต่างชาติย้ายฐานซบไทย
 
 
 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ”ความท้าทาย COP26 กับบริบทการใช้พลังงานของประเทศไทย” ในงาน FTI Expo 2022  ว่า  ปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมัน90% จากต่างประเทศเมื่อประเทศต่างๆเกิดความขัดแย้งย่อมกระทบต่อไทยดังนั้นระยะยาวรัฐบาลจึงกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ในปีค.ศ. 2050 (พ.ศ.2593) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีค.ศ. 2065 เพื่อให้ไทยได้พึ่งพาตนเองด้านพลังงานและก้าวสู่พลังงานสะอาดเพื่อดึงดูดการย้ายฐานการผลิตมาไทยควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสระบบนิเวศให้อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve)ทางด้านพลังงานเกิดขึ้นเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง
 
 
“  ท่านนายกฯได้ประกาศในเวทีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2564 หรือ COP26 เห็นพ้องว่าต้องควบคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน1.5 องศาเซนเซียสจากเดิมไม่เกิน 2 องศาฯประเทศต่างๆก็วางเป้าหมาย และกติกาโลกก็ก้าวไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งแน่นอนว่าหากปล่อยก็ไม่มีปัญหาแต่จะเจอกับมาตรการกีดกันการค้า(NTB) ซึ่งขณะนี้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 350 ล้านตันต้องจ่ายเงินผ่านการซื้อขายคาร์บอนเครดิตหากคิดราคาที่เทรดวันนี้เราต้องจ่าย 1 ล้านล้านบาทต่อปีการที่ไทยประกาศชัดเจนก็เพื่อบอกว่าเราจะยืนข้างหน้าเป็นผู้นำในอาเซียนไม่เป็นผู้สร้างภาระประเทศต่างๆก็หันมาสนใจเรามากขึ้นโดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยง NTB ”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
 
 
ทั้งนี้การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกสำคัญสุดกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการที่จะลดทั้งในภาคไฟฟ้าที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) 81 ล้านตัน/ปี เช่น การซื้อไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น การเพิ่มสัดส่วนรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 1 หมื่นเมกะวัตต์ช่วง 10 ปีแรก ฯลฯ ภาคขนส่งที่ก่อCO2 80 ล้านตันต่อปีได้วางแนวทางการลดเช่น การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ฯลฯ  บ้านที่พักอาศัยและภาคอุตสาหกรรมปล่อยCO2  53 ล้านตันต่อปีจะมุ่งเน้นแผนการประหยัดพลังงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อดูดซับ และการศึกษากับกลุ่มปตท.ในการนำCO2ไปกักเก็บในแหล่งปิโตรเลียมทั้งในทะเลและบนบก 
 
 
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่าวระยะยาวไทยจะลดการนำเข้าน้ำมัน ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) จากต่างประเทศโดยส่วนหนึ่งจะถูกแทนจากการเปลี่ยนไปสู่ EV ที่ใช้ระบบไฟฟ้าและไฮโดรเจน ระบบไฟฟ้าจะพึ่งพาตนเองไปสู่พลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ลม โรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ ฯลฯ  และสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่นการเกิดขึ้นของสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์เพื่อป้อนEV  อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจะมีมากขึ้น ส่วนกรณีกลุ่มปตท.ในเรื่องของน้ำมันและก๊าซฯได้เตรียมตัวรับมือไว้แล้วโดยส่วนของก๊าซฯจะมุ่งมาทำไฮโดรเจนส่งตามท่อและโรงไฟฟ้า หรือขนส่งเป็นแอมโมเนียจำหน่ายต่างประเทศ ฯลฯ ส่วนน้ำมันโรงกลั่นเองต้องปรับตัวหันไปมุ่งเน้นการทำปิโตรเคมีมากขึ้น 
 
 
“เราจะมีกิจกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากจากสิ่งเหล่านี้ทีแรกผมห่วงเอทานอลและน้ำมันปาล์มนะแต่โลกวันนี้เปลี่ยนไปเอทานอลก็ไปผสมน้ำมันเครื่องบินได้มากขึ้น ไปทำพลาสติกชีวภาพได้ ส่วนปาล์มเองก็ต่อยอดไปสู่โอลิโอเคมี ส่วนรถยนต์สันดาปเราเองก็ค่อยๆ ส่งเสริมEVให้เวลาปรับตัว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ก็กำลังศึกษาเพื่อดำเนินโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดในเขื่อน 9 แห่งซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศและบังเอิญแต่ละแห่งจะอยู่ใกล้กับ เขตพัฒนาพิเศษในภูมิภาคที่รัฐวางแผนหลังทำเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ก็จะขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ก็จะทำให้ไทยมีความหลากหลายพลังงานไฟฟ้าสะอาดในการรองรับการย้ายฐานการผลิต เหล่านี้มันเป็นโอกาสจริงๆ ต้องประคับประคองประเทศให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากในวันนี้ที่ต้องร่วมมือกัน”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว