เศรษฐกิจ
“สุพัฒนพงษ์”ชูไทยลดนำเข้าพลังงาน ดันอุตสาหกรรมใหม่-พลังงานสะอาด
วันพฤหัสบดี ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 17.17 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
“สุพัฒนพงษ์”ชูไทยลดนำเข้าพลั งงาน
ดันอุตสาหกรรมใหม่-พลั งงานสะอาด
“สุพัฒนพงษ์” เร่งขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็ นกลางทางคาร์บอนปี 2050 หวังปูทางไทยลดพึ่งพิงนำเข้าพลั งงานทั้งน้ำมันและLNG ในอนาคต หวังสร้างอุตสาหกรรมใหม่ทั้ งพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า ดึงดูดต่างชาติย้ ายฐานซบไทย
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลั งงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ”ความท้าทาย COP26 กับบริบทการใช้พลั งงานของประเทศไทย” ในงาน FTI Expo 2022 ว่า ปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมัน90% จากต่างประเทศเมื่อประเทศต่ างๆเกิดความขัดแย้งย่อมกระทบต่ อไทยดังนั้นระยะยาวรัฐบาลจึ งกำหนดเป้าหมายความเป็ นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ในปีค.ศ. 2050 (พ.ศ.2593) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็ นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีค.ศ. 2065 เพื่อให้ไทยได้พึ่งพาตนเองด้ านพลังงานและก้าวสู่พลั งงานสะอาดเพื่อดึงดูดการย้ ายฐานการผลิตมาไทยควบคู่ไปกั บการสร้างโอกาสระบบนิเวศให้อุ ตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve)ทางด้านพลังงานเกิดขึ้ นเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุ ตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง
“ ท่านนายกฯได้ประกาศในเวที การประชุมสหประชาชาติว่าด้ วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2564 หรือ COP26 เห็นพ้องว่าต้องควบคุมไม่ให้อุ ณหภูมิโลกสูงเกิน1.5 องศาเซนเซียสจากเดิมไม่เกิน 2 องศาฯประเทศต่างๆก็วางเป้าหมาย และกติกาโลกก็ก้าวไปสู่การลดก๊ าซเรือนกระจกซึ่งแน่นอนว่ าหากปล่อยก็ไม่มีปัญหาแต่ จะเจอกับมาตรการกีดกันการค้า( NTB) ซึ่งขณะนี้ไทยปล่อยก๊าซเรื อนกระจก 350 ล้านตันต้องจ่ายเงินผ่านการซื้ อขายคาร์บอนเครดิตหากคิดราคาที่ เทรดวันนี้เราต้องจ่าย 1 ล้านล้านบาทต่อปีการที่ ไทยประกาศชัดเจนก็เพื่อบอกว่ าเราจะยืนข้างหน้าเป็นผู้ นำในอาเซียนไม่เป็นผู้สร้ างภาระประเทศต่างๆก็หั นมาสนใจเรามากขึ้ นโดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตเพื่ อหลีกเลี่ยง NTB ”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้การลดก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ที่เป็นหนึ่งในก๊ าซเรือนกระจกสำคัญสุดกระทรวงพลั งงานได้ดำเนินการที่จะลดทั้ งในภาคไฟฟ้าที่มีการปล่อยก๊ าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) 81 ล้านตัน/ปี เช่น การซื้อไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อนบ้ านเพิ่มขึ้น การเพิ่มสัดส่วนรับซื้อไฟฟ้ าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 1 หมื่นเมกะวัตต์ช่วง 10 ปีแรก ฯลฯ ภาคขนส่งที่ก่อCO2 80 ล้านตันต่อปีได้ วางแนวทางการลดเช่น การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ฯลฯ บ้านที่พักอาศัยและภาคอุ ตสาหกรรมปล่อยCO2 53 ล้านตันต่อปีจะมุ่งเน้ นแผนการประหยัดพลังงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังร่วมมือกับทุกภาคส่ วนในการส่งเสริมการปลูกป่าเพื่ อดูดซับ และการศึกษากับกลุ่มปตท. ในการนำCO2ไปกักเก็บในแหล่งปิ โตรเลียมทั้งในทะเลและบนบก
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่ าวระยะยาวไทยจะลดการนำเข้าน้ำมั น ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว( LNG) จากต่างประเทศโดยส่วนหนึ่งจะถู กแทนจากการเปลี่ยนไปสู่ EV ที่ใช้ระบบไฟฟ้าและไฮโดรเจน ระบบไฟฟ้าจะพึ่งพาตนเองไปสู่พลั งงานหมุนเวียนทั้งพลั งงานแสงอาทิตย์ ลม โรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ ฯลฯ และสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่นการเกิดขึ้นของสมาร์ทอิเล็ กทรอนิกส์เพื่อป้อนEV อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจะมี มากขึ้น ส่วนกรณีกลุ่มปตท.ในเรื่องของน้ำ มันและก๊าซฯได้เตรียมตัวรับมื อไว้แล้วโดยส่วนของก๊าซฯจะมุ่ งมาทำไฮโดรเจนส่งตามท่ อและโรงไฟฟ้า หรือขนส่งเป็นแอมโมเนียจำหน่ ายต่างประเทศ ฯลฯ ส่วนน้ำมันโรงกลั่นเองต้องปรั บตัวหันไปมุ่งเน้นการทำปิ โตรเคมีมากขึ้น
“เราจะมีกิจกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากจากสิ่งเหล่านี้ ทีแรกผมห่วงเอทานอลและน้ำมั นปาล์มนะแต่โลกวันนี้เปลี่ ยนไปเอทานอลก็ไปผสมน้ำมันเครื่ องบินได้มากขึ้น ไปทำพลาสติกชีวภาพได้ ส่วนปาล์มเองก็ต่อยอดไปสู่โอลิ โอเคมี ส่วนรถยนต์สันดาปเราเองก็ค่อยๆ ส่งเสริมEVให้เวลาปรับตัว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย( กฟผ.)ก็กำลังศึกษาเพื่อดำเนิ นโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ ไฮบริดในเขื่อน 9 แห่งซึ่งกระจายอยู่ทั่ วประเทศและบังเอิญแต่ละแห่ งจะอยู่ใกล้กับ เขตพัฒนาพิเศษในภูมิภาคที่รั ฐวางแผนหลังทำเขตพัฒนาพิ เศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ก็จะขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ก็จะทำให้ไทยมีความหลากหลายพลั งงานไฟฟ้าสะอาดในการรองรับการย้ ายฐานการผลิต เหล่านี้มันเป็นโอกาสจริงๆ ต้องประคับประคองประเทศให้ผ่ านช่วงที่ยากลำบากในวันนี้ที่ต้ องร่วมมือกัน”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่








