วันพฤหัสบดี ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 12:16 น.

เศรษฐกิจ

ปตท.ชี้น้ำมันดิบครึ่งปีหลังไม่หวือหวา

วันศุกร์ ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 17.05 น.
ปตท.ชี้น้ำมันดิบครึ่งปีหลังไม่หวือหวา
 
 
 
"ปตท."  คาดราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ช่วงครึ่งปีหลังแตะ 80 เหรียญต่อบาร์เรล ระบุความกังวลเศรษฐโลกชะลอตัว และเศรษฐกิจจีนยังไม่หวือหวาหลังเปิดประเทศ ขณะที่มั่นใจธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ช่วยเสริมแกร่งพลังงานไทย สู่ธุรกิจใหม่เพื่อเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ 
 
 
นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาพลังงานตลาดโลกว่า สำหรับราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ล่าสุดอยู่ระดับที่75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยราคาไม่หวือหวาสูงขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากความกังวลเศรษฐโลกชะลอตัว และเศรษฐกิจจีนยังไม่หวือหวาหลังเปิดประเทศ
 
 
โดยขณะนี้สถานการณ์ราคาพลังงานเริ่มคลี่คลายลง โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติเหลวตลาดจร (สปอตแอลเอ็นจี) ราคาซื้อขายเดือนมิถุนายนลดลงเหลือระดับ 9 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ขณะที่ช่วงปลายปีนี้ คาดว่าราคาจะอยู่ระดับใกล้เคียง เนื่องจากสต็อกแอลเอ็นจีทั่วโลกขึ้นไประดับ 60% ไม่เกิดภาวะขาดแคลนเหมือนช่วงภาวะสงครามในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ราคาเคยทำสถิติพุ่งสูงถึง 80 เหรียญสหรัฐขณะที่ประเทศไทยซื้อได้ในราคา 40 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงเช่นกัน ดังนั้น น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับค่าไฟของไทยงวดปลายปี 2566 ให้ราคาถูกลง เพราะใช้เชื้อเพลิงแอลเอ็นจีผลิตไฟฟ้าค่อนข้างมาก
 
นายพงษ์พันธุ์ กล่าวว่า บทบาทของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. ในการขยายเครือข่ายทางการค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด และนำรายได้เข้าประเทศ รวมถึงการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์โลกพลังงานที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคต
 
โดยหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ มีสำนักงานการค้าอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา มีปริมาณการค้ารวมมากกว่า 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ครอบคลุมมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และมีการจัดหาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของประเทศ
 
นอกจากนี้ ยังแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อาทิ การเข้าสู่ตลาด Carbon Credit Trading และการค้าเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) เป็นต้น  ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกลุ่ม ปตท. และประเทศไทยเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ปี 2050 ตามที่กำหนดไว้
 
นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย กล่าวว่า ปตท. ได้ดำเนินกลยุทธ์การดำเนินงานผ่านความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจเดิม (Hydrocarbon based) และเป็นฐานต่อยอดธุรกิจใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Advance Materials & Specialty Chemicals) ที่สอดคล้องกับการเติบโตตามกระแสโลก  โดยสามารถเชื่อมโยงและเติมเต็มห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ธุรกิจใหม่ ของกลุ่ม ปตท.
 
ทั้งนี้เพิ่มสัดส่วนธุรกิจคาร์บอนต่ำและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ซึ่งยังมีการนำเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วยเสริมการบริหารจัดการเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจให้แก่ภาครัฐ อาทิ การใช้ระบบดิจิทัลมาวางแผนการผลิตน้ำมันในประเทศด้วยระบบดิจิทัล ผ่าน Hydrocarbon Value Chain Collaboration Center  รวมถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการทางเลือกใช้เชื้อเพลิงของประเทศในภาวะราคาพลังงานผันผวน เป็นต้น