วันศุกร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2567 04:51 น.

เศรษฐกิจ

กลุ่ม ปตท. นำร่องศึกษา CCS Hub Model ต้นแบบเทคโนโลยีดักจับ-กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

วันอังคาร ที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2567, 17.23 น.

 กลุ่ม ปตท. นำร่องศึกษา CCS Hub Model  ต้นแบบเทคโนโลยีดักจับ-กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

 

กลุ่ม ปตท. นำร่องศึกษา CCS Hub Model ต้นแบบเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ประเทศไทย มีแนวทางให้ดำเนินโครงการ CCS ในปี 2040 โดยจะมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างน้อย 40 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2050 และ 60 ล้านตันต่อปีภายในปี 2065 ดังนั้น กลุ่ม ปตท. ได้ตระหนักถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์

 

กลุ่ม ปตท. ในฐานะองค์กรด้านพลังงานของประเทศ มุ่งมั่นยกระดับการพัฒนาประเทศให้มั่นคงอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)  เพื่อร่วมบรรเทาวิกฤตด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่ม ปตท. จึงยกระดับการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีภายใต้คณะกรรมการเทคโนโลยี กลุ่ม ปตท. (PTT Group Technology Committee: GTC) ในการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน โดยจะนำร่องศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ในรูปแบบ CCS Hub Model ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตได้ในระดับหลายล้านตันต่อปี และนำไปกักเก็บในชั้นธรณีที่มีศักยภาพและเหมาะสมแบบปลอดภัยและถาวร (Permanent Geological Storage) โดยไม่มีการปล่อยกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ทั้งนี้ จะเริ่มศึกษาในพื้นที่ปฏิบัติการ กลุ่ม ปตท. จังหวัดระยองและชลบุรี

 

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือนี้นับเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลสู่ระดับประเทศได้ในอนาคต เพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรและประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม ยกระดับการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนได้ต่อไป

 

What is Carbon Capture and Storage (CCS)?

 

Carbon Capture and Storage คือ เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)

 

- CO2 Capture: กระบวนการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรมหรือโรงไฟฟ้า

 

- Transportation: ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูกดักจับได้จะถูกปรับความดันให้เหมาะสมสำหรับการขนส่งไปยังแหล่งกักเก็บ

 

- Storage:  ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะถูกกักเก็บบนฝั่ง (Onshore) หรือนอกชายฝั่ง (Offshore) ในชั้นหินทางธรณีวิทยาไว้อย่างปลอดภัย

 

 

Safety of offshore CCS

 

1. ความลึก : ชั้นหินที่ใช้กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ต้องมีความลึกอย่างน้อย 800 เมตร โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ 1,000-3,000 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่ห่างไกลจากผู้คน

 

2. การปิดผนึก : ชั้นหินกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  จะถูกขนาบด้วยชั้นหินหนาผนึกแน่นจนไม่สามารถซึมผ่านได้ (shales and mudstones) เหมือนกับชั้นหินที่กักเก็บน้ำมันและก๊าซไว้ใต้ดินเป็นเวลาหลายล้านปี

 

3. Reverse E&P : CCS เป็นกระบวนการย้อนกลับของกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) เป็นการรวบรวมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารพลอยได้จากการผลิต อัดกลับไปกักเก็บในชั้นหินใต้ดิน อันเป็นแหล่งกำเนิดของ CO2 ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการทดสอบแล้ว และมีการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ 

 

4. กลไกการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  เป็นของแข็ง : CO2 ที่ถูกกักเก็บในชั้นหิน เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี  ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะกลายสภาพเป็นของแข็งที่เสถียรและปลอดภัย

 

5. การติดตามตรวจสอบ : ติดตามตรวจสอบตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ MMV Program (Monitoring, Measurement and Verification) โดยจะติดตามการรั่วไหล 3 ระดับ คือ แหล่งกักเก็บใต้พื้นดิน, ชั้นใกล้ผิวดิน และชั้นบรรยากาศ

 

 MMV Program (Monitoring, Measurement and Verification)

 

i.ตรวจวัดคุณสมบัติของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก่อนการอัด

 

ii. ออกแบบหลุม Injection และหลุม Monitoring

 

iii. ตรวจสอบและบำรุงรักษาสภาพหลุม

 

iv. ตรวจวัดความดัน ขณะอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

V. ติดตามการกระจายตัวของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

Vi. ตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริเวณพื้นที่กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

 

 

 

ทำไม CCS จึงมีความสำคัญต่อโลกใบนี้

 

 

การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ได้รับการยืนยันจากหลายประเทศแล้วว่า มีประสิทธิภาพสูง โดยประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้นำไปใช้ และต่างยอมรับว่าเป็นหนึ่งในทางออกสำคัญที่จะ ช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) และสามารถนำไปใช้ บริหารจัดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากได้ อีกทั้งยังเหมาะสมกับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ยาก

 

●The United Nations’ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) รายงานถึงความสำคัญของ CCS ในการบรรลุเป้าหมายในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ให้อยู่ระหว่าง 1.5 - 2 องศาเซลเซียส

 

●The International Energy Agency (IEA) รายงานถึงบทบาทสำคัญของ CCS ในการจัดการปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้า และกระบวนการอุตสาหกรรม (เช่น การแยกก๊าซธรรมชาติ ปูนซีเมนต์ เหล็กกล้า และเคมีภัณฑ์)

 

ข้อดีของเทคโนโลยี CCS 

 

- สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 60 ล้านตันต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้สูงถึง 60 ล้านตันต่อปี  โดยโครงการ Eastern  CCS Hub โดยกลุ่ม ปตท. จะสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงถึง 10 ล้านตันต่อปี 

- ทำให้ GDP สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้แค่ ภาษีคาร์บอน 

 

- ลดผลกระทบ CBAM มากกว่า 600 ล้านบาท/ปี ลดความเสี่ยงจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป

 

- ส่งเสริมการลงทุนคาร์บอนต่ำ วางรากฐานสำหรับการลงทุนคาร์บอนต่ำ โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน, ไฮโดรเจนสีฟ้าและผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ 

 

- สร้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ตำแหน่งส่งเสริมการจ้างงานได้ถึง 10,000 ตำแหน่งสำหรับการพัฒนา และการดำเนินงานโครงการ CCS

 

 

 

 

 

CCS Success Case ตัวอย่างความสำเร็จของโครงการ CCS

 

 

ปัจจุบัน มีโครงการ CCS ที่ดำเนินการอยู่ 41 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกา โดยขอยกตัวอย่างความสำเร็จของการดำเนินโครงการ CCS ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้ได้เห็นภาพกันมากขึ้น ดังนี้ 

 

 

●Northern Lights (Longship) Project

 

โครงการ CCS ขนาดใหญ่ครบวงจร และมีโมเดลธุรกิจแบบ Cross-Border ในสหภาพยุโรปแห่งแรกของโลก เป็นโรงงานอุตสาหกรรมต้นแบบ 2 แห่งแรก ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐมากกว่า 60% ในการติดตั้งหน่วยดักจับ CO2  และได้ประโยชน์จากการลด CO2 และ ETS (EU Emissions Trading System) รวมทั้งไม่ต้องเสียค่าบริการ (Service fee)ในการขนส่งและกับเก็บ CO2 ใช้เงินลงทุนสูงถึง EUR 2.3 bn โดยโครงการสามารถเกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนงบ 80% จากรัฐบาล และมีรูปแบบธุรกิจแบบ Cross-Border ที่ชัดเจน

 

 

●(Pilot Project) Tomakomai CCS Demonstration Project

 

โครงการสาธิตในการดำเนินการดักจับและกักเก็บ CO2 ลงในชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียมในช่วง ปี ค.ศ. 2016 – 2019 ประมาณ 300,000 ton CO2 และปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตามผล การกักเก็บ CO2 ในชั้นหินดังกล่าว ทั้งด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานระยะต่อไป อยู่ระหว่างการศึกษาการขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์ทางเรือ เพื่อนำมากักเก็บในโครงการ