วันจันทร์ ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2568, 05.01 น.
ไทย-ญี่ปุ่น จับมือพัฒนาท่าเรือ ยกระดับประสิทธิภาพขนส่งทางน้ำ

การเดินทางท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าทางน้ำถือว่ายังมีความสำคัญ ที่ได้รับการนิยมอยู่ในปัจจุบัน ทั้งเรื่องความสะดวกสบาย และการประหยัดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ด้านการขนส่งสินค้า ซึ่งประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญ ทั้งการเชื่อมต่อจากทางน้ำ สู่ระบบราง ทางถนน หรือทางอากาศ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นหน่วยงานที่มีบทด้านการขนส่งทางน้ำของประเทศ ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นำการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างการท่าเรือฯ และเมืองโยโกฮามา และประชุมร่วมกับบริษัท Yokohama-Cargo-Center (YCC) ณ ประเทศญี่ปุ่น
นับเป็นเป้าหมายที่สำคัญ ในการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) ฉบับใหม่ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านการพัฒนากิจการท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่หลังท่า ส่งเสริมการตลาด เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมพร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนของทั้งสองท่าเรือ เพื่อก้าวเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างกัน โดยเมืองโยโกฮามาจะสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมการศึกษาโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพและการใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และจะสนับสนุนความช่วยเหลือเชิงวิชาการในด้านการพัฒนาท่าเรือสีเขียว การส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) มุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อม พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการตลาดเชิงรุก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในอนาคต

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือฯ กล่าวต่อว่า การเดินทางเยือนโยโกฮามา ในครั้งนี้ เป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 10 ปี ระหว่างการท่าเรือฯ และเมืองโยโกฮาม่า แสดงถึงมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2557
ขณะเดียวกัน นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ กล่าวว่า ท่าเรือโยโกฮามา มีแนวทางการพัฒนาและกำหนดนโยบายเช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเดินทางมาศึกษาดูงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับการท่าเรือฯ ในการแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาท่าเรือและสามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนาท่าเรือ รวมทั้งต่อยอดในโครงการต่างๆ ในหลายประเด็น อาทิ
1)การพัฒนาท่าเรือให้เป็นเมืองท่าและศูนย์กระจายสินค้า สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค
2)การพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่หลังท่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน

3)การพัฒนาระบบการให้บริการโลจิสติกส์เพื่อลดปัญหาการจราจร โดยพัฒนาพื้นที่จุดพักรถบรรทุก (Truck Parking) ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการจราจร (Truck Q) เพื่อลดปัญหาการจราจรทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ
4)การพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว การบริหารจัดการและพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาโครงการ Bangkok Port Passenger Cruise Terminal บนพื้นที่ 67.41 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งและการท่องเที่ยวทางน้ำ

สำหรับประเทศญี่ปุ่นนับเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย (อันดับที่ 3) โดยมีเมืองโยโกฮาม่าเป็นเมืองที่มี ขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากโตเกียว และมีท่าเรือโยโกฮาม่าที่เป็นท่าเรือสำคัญ ซึ่งกำกับดูแลโดยเมืองโยโกฮาม่าและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้าโดยบริษัท Yokohama Kawasaki International Port Corporation (YKIP) เป็นท่าเรือที่มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น หรืออันดับที่ 68 ของโลก รองจากท่าเรือโตเกียว (อันดับที่ 46 ของโลก) โดยในปี 2566 มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 3.02 ล้าน ทีอียู เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.68 จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ท่าเรือโยโกฮาม่าเป็นท่าเรือท่องเที่ยวอันดับที่ 1 ของประเทศญี่ปุ่น โดยในปี 2566 รองรับเรือท่องเที่ยว จำนวน 171 ลำ และผู้โดยสาร จำนวน 467,536 คน โดยท่าเรือโยโกฮาม่าสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจคิดเป็นร้อยละ 30 ของรายได้ทั้งหมดของเมืองโยโกฮามา
เมื่อเทียบสัดส่วนการขนส่งของท่าเรือของประเทศไทยกับท่าเรือโยโกฮามา พบว่าท่าเรือของไทยมีสัดส่วน การขนส่งระบบรางและเรือชายฝั่งในสัดส่วนที่สูงกว่าท่าเรือโยโกฮามา เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นเกาะจึงนิยมขนส่ง ด้วยรถยนต์และชายฝั่งมากกว่า ทั้งนี้ คาดว่าโครงการพัฒนา ทลฉ. ระยะที่ 3 จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถ ในการขนส่งทางรางได้ถึงร้อยละ 30 ส่งผลดีในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจราจรแออัดของท่าเรือ
โดยญี่ปุ่นได้กําหนดท่าเรือเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศ (International Container Hub) ไว้จํานวน 5 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือโตเกียว ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือคาวาซากิ ท่าเรือโอซาก้า ท่าเรือ โกเบ เพื่อเป็นท่าเรือหลักของประเทศญี่ปุ่นที่รองรับการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กําหนดให้เป็น ท่าเรือที่จะต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ โดยในปี 2566 (2023) ประเทศญี่ปุ่น มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่ารวมอยู่ที่ 21.769 ล้าน TEUs ข้อมูลปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 5 อันดับแรกของประเทศญี่ปุ่น
ท่าเรือที่มีปริมาณสินค้าผ่านท่ามากที่สุดของประเทศญี่ปุ่นในปี 2566 (2023) คือ ท่าเรือโตเกียว โดยมีปริมาณผู้ส่งสินค้าผ่านท่าอยู่ที่ 4.57 ล้าน TEUs เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.16 อันดับที่ 2 ได้แก่ ท่าเรือโยโกฮามา มีปริมาณผู้ส่งสินค้าผ่านท่าอยู่ที่ 2.97 ล้าน TEUs เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.41 อันดับที่ 3 ได้แก่ ท่าเรือโกเบ มีปริมาณ ผู้ส่งสินค้าผ่านท่าอยู่ที่ 2.84 ล้าน TEUs ลดลงร้อยละ 1.90 ทั้งนี้ กทท. ได้มีการจัดทําความร่วมมือกับท่าเรือที่ สําคัญของญี่ปุ่น จํานวน 4 ท่า ได้แก่ ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือนาโกยา ท่าเรือฮากาตะ และท่าเรือคิตคิวชู