วันเสาร์ ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568 01:21 น.

เศรษฐกิจ

BESS เทคโนโลยีช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า

วันศุกร์ ที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 00.01 น.

BESS เทคโนโลยีช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า

 

การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนให้มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งไม่มีต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิต เป็นนโนยายที่สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศ ทั้งนี้ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ หรือ BESS (Battery Energy Storage System) ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพราะเข้ามาช่วยลดความความผันผวนของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ที่ไม่สามารถผลิตและจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงช่วยสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ ไม่ให้มีปัญหาไฟฟ้าตกหรือไฟฟ้าดับ

 

ปัจจุบันมีการติดตั้งระบบ BESS ในประเทศไทย โดยเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ติดตั้งในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งข้อดีของแบตเตอรี่ชนิดนี้ คือ น้ำหนักเบา มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 15 ปี และให้พลังงานสูงกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆ อีกทั้งมีพลังงานคงที่ และชาร์จได้รวดเร็ว โดยโครงการ BESS ที่สำคัญโครงการหนึ่ง คือ โครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่ได้มีการลงทุนติดตั้ง BESS ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขนาด 50 เมกะวัตต์ นับเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เริ่มใช้งานมาตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม 2567 เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับบนเกาะสมุย ในช่วงที่เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของแต่ละวัน หรือที่เรียกว่าช่วงพีค ซึ่งการส่งกระแสไฟฟ้าจากบนฝั่งผ่านสายเคเบิลใต้น้ำมาที่เกาะมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ 

 

 

BESS การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย ขนาด 50 เมกะวัตต์

 

นอกจาก PEA แล้ว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็มีการติดตั้ง BESS เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าใน 3 แห่ง คือ 1. สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ขนาด 21 เมกะวัตต์ 2. สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ขนาด 16 เมกะวัตต์ และ 3. โครงการนําร่องการพัฒนาสมาร์ทกริด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนาด 4 เมกะวัตต์

 

 

BESS กฟผ. ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ขนาด 21 เมกะวัตต์

 

หลักการทำงานของ BESS นั้น ตัวแบตเตอรี่จะทำหน้าที่เก็บประจุไฟฟ้าในช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่สูง ทั้งที่มาจากระบบไฟฟ้าปกติที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าหลัก หรือช่วงที่แสงอาทิตย์หรือพลังงานลมผลิตไฟฟ้าได้แต่ยังไม่มีความต้องการใช้ ก็เอามากักเก็บไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้จึงค่อยให้ระบบแบตเตอรี่ปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาตามศักยภาพการกักเก็บของแบตเตอรี่นั้นๆ ซึ่งสำหรับคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือและคุ้นเคยกับอุปกรณ์ Power Bank อาจจะนึกภาพตามและเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะ BESS ก็คือ Power Bank ขนาดยักษ์ ที่เอาไว้ชาร์จไฟฟ้าเสริมความต้องการ กรณีที่ไม่สามารถไปเสียบชาร์จจากปลั๊กไฟในระบบตามปกติได้นั่นเอง 

 

 

สำหรับการส่งเสริม BESS ของภาครัฐนั้น จากมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่เห็นชอบในหลักการให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือ RE Big Lot จำนวน 5,203  เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ไปแล้ว ส่วนหนึ่งของไฟฟ้าล็อตใหญ่ที่รับซื้อดังกล่าว เป็นไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) จำนวนถึง 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งนโยบายการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนของภาครัฐควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้มีการใช้ BESS นั้น ถือเป็นการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้นในระบบ โดยที่ลดปัญหาความผันผวนและความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียนเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในความพยายามในการผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ ภายในปี 2065

 

บนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาวิกฤติสภาพภูมิอากาศและหันมาส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เชื่อว่าจะมีผู้พัฒนาเทคโนโลยี BESS ให้มีต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อยๆ จนเมื่อถึงจุดที่เทคโนโลยีมีความคุ้มทุน และไม่เป็นภาระต่อผู้บริโภค เราน่าจะได้เห็นการใช้ BESS อย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งภาครัฐและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างติดตามการพัฒนาเทคโนโลยี BESS อย่างใกล้ชิด เพื่อเตียมความพร้อมในการนำเทคโนโลยีที่มีคุณประโยชน์นี้ มาช่วยเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า โดยไม่ต้องกังวลต่อปัญหาความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนอีกต่อไป 


#กกพ #กองทุนพัฒนาไฟฟ้า #พลังงานสะอาด