วันพฤหัสบดี ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2568 02:08 น.

เศรษฐกิจ

เปิดโปง”ฆ่าโง่” โฮปเวลล์

วันจันทร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568, 17.29 น.

เปิดโปง”ฆ่าโง่” โฮปเวลล์

 

นายคอลลิน  เวียร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกในงานแถลงข่าว “ฆ่าโง่..จุดหักเหโฮปเวลล์ : ภัยคุกคามอธิปไตยของชาติ” มีใจความสำคัญระบุว่า ข้อกล่าวหาการติดสินบนด้วยเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อล้มคดี เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างสิ้นเชิง

“ขอยืนยันว่า บริษัทโฮปเวลล์ฯ เป็นบริษัทมหาชน ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สากล ให้การเคารพต่อกฎหมาย ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด และยึดถือการดำเนินกิจการด้วยความสุจริตโปร่งใส ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำใดๆ ก็ตามที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดสินบน”

ขณะที่นายสัญญา  สถิรบุตร อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในฐานะที่ปรึกษา บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพานิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา  สภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ชำแหละเบื้องลึกกลเกมการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม โดยกล่าวว่า กรณีโฮปเวลล์ มีความพยายามสมคบคิดกันใช้อำนาจโดยมิชอบ ภายใต้กลไกอำนาจฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ คุกคามอำนาจตุลาการ มุ่งหวังผลล้มล้างคำพิพากษาที่เป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว

นายสัญญา กล่าวว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 เป็นเหมือน”สารตั้งต้น” นำไปสู่กระบวนการล้มล้างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ผ่านกระบวนการผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีกระทรวงคมนาคม

 และ รฟท.ที่เป็นหน่วยงานรัฐ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน โดยการอ้างสิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

นายสัญญา กล่าวว่า ขบวนการล้มล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว น่าจะต้องถูกประณามเป็นขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบยุติธรรม และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ก็เพราะทุกคำพิพากษาของศาล เป็นการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เมื่อตัดสินชี้ขาดเป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ต้องปฏิบัติตาม ใครก็ตามที่ใช้เล่ห์เพทุบายเปลี่ยนแปลงล้มล้างคำพิพากษา จึงน่าสงสัยว่าเคารพพระปรมาภิไธยอยู่หรือไม่

โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) ระยะทาง 60.1 กม.เป็นโครงการที่บริษัท โฮปเวลล์(ประเทศไทย) จำกัด ได้สิทธิดำเนินการภายใต้สัมปทานการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย  ชุณหะวัณ มีอายุสัมปทาน 30 ปี ระหว่างวันที่ 6 ธ.ค. 2534 -5 ธ.ค. 2562 มีมูลค่าการลงทุน 80,000 ล้านบาท โดยผู้รับสัมปทานต้องรับผิดชอบจัดหาเงินลงทุนเองทั้งหมด ควบคู่กับการจ่ายค่าตอบแทนสัมปทานแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตามสัญญาสัมปทาน

โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) ถูกการรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2541 โดยอ้างเหตุผู้รับสัมปทาน ดำเนินโครงการล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา

27 พ.ย. 2547 บริษัทโฮปเวลล์ฯ ยื่นร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ด้วยเหตุถูกบอกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม และคณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม คืนเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ที่บริษัท โฮปเวลล์ฯลงทุนไปแล้ว ให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ

การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม ร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเป็นที่สุดเมื่อเดือนเม.ย.2562 สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคม คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาฯ จำนวน 11,888 ล้านบาทและดอกเบี้ยให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ เนื่องจากสัญญาระหว่างกันได้ยุติลงแล้ว