วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568 18:54 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

วันพฤหัสบดี ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2568, 08.39 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.39 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 33.33-33.60 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ตามความหวังว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจคลี่คลายลงได้บ้าง รวมถึงความกังวลต่อประเด็นการแทรกแซงเฟดโดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ที่เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น กดดันให้สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา เผชิญแรงขายพอสมควร ทั้ง ทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) โดยเงินเยนญี่ปุ่น ได้เผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จนล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุโซน 143 เยนต่อดอลลาร์ หลังรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการพูดคุยในประเด็นเป้าหมายค่าเงินในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลในประเด็นที่สหรัฐฯ อาจต้องการเห็นค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น เพื่อกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นใน Plaza Accord 1985 ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจมีการขายทำกำไรสถานะ Short ทองคำ

 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความหวังว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะทยอยคลี่คลายลงได้บ้าง นอกจากนี้ แม้ว่ารายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนเมษายน จะออกมาผสมผสาน แต่โดยรวมยังคงสะท้อนภาวะขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ หนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อาทิ Amazon +4.3%, Nvidia +3.9% ส่งให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.67%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พุ่งขึ้น +1.78% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ SAP +10.6% นอกจากนี้ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม จากความหวังว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจคลี่คลายลงบ้าง ก็มีส่วนหนุนตลาดหุ้นยุโรป

 

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงในตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะทยอยปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4.40% อีกครั้ง ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.36% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจอยู่ ในแง่ของ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ทำให้ เราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จนทะลุโซน 143 เยนต่อดอลลาร์ หลังทางการสหรัฐฯ ปฏิเสธพูดคุยประเด็นเป้าหมายค่าเงินในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.0-99.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทว่า แรงซื้อ Buy on Dip และแรงขายทำกำไรสถานะ Short ทองคำของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ก็พอช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่ระดับแถวโซน 3,320-3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Core Durable Goods Orders) เดือนมีนาคม รวมถึง รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนเมษายน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

 

และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศของไทย จากรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมีนาคม ซึ่งอาจขยายตัวได้ดีอยู่ ท่ามกลางการเร่งนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า ก่อนเผชิญมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ควรจับตาประเด็นอื่นๆ ในการแถลงข่าวดังกล่าว เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้แถลงในครั้งนี้ ส่วนในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 

 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเรายังคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออกบางส่วน อีกทั้ง ราคาทองคำก็อาจมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หลังจากปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ เรามองว่า การรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์บ้าง ซึ่งหากประเมินจากดัชนีเงินดอลลาร์ DXY โซน 100 จุด ก็อาจเป็นโซนแนวต้านระยะสั้น ที่ดัชนี DXY ยังผ่านไปได้ยาก ยกเว้นจะเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สดใสชัดเจน (ล่าสุด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาผสมผสาน) หรือตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง ทำให้เงินดอลลาร์อาจพอได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าลงบ้างของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งอาจมีโซนแนวต้านแถว 145 เยนต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อาจพอช่วยหนุนให้บรรดาสินทรัพย์ในฝั่งเอเชียปรับตัวขึ้นต่อได้ บรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมในระยะนี้

 

ทั้งนี้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงเข้าใกล้ปลายเดือน ที่อาจทำให้บรรดาผู้นำเข้าบางส่วนต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ และที่สำคัญ เรามองว่า การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำล่าสุด อาจไม่ได้ยั่งยืนนัก หากตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง ซึ่งอาจกดดันให้ ราคาทองคำยังเสี่ยงที่จะมีจังหวะย่อตัวลงอีกครั้ง และทำให้ราคาทองคำโดยรวมเข้าสู่ช่วงของการพักฐาน (Correction Phase) เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

 

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.70 บาท/ดอลลาร์