วันศุกร์ ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 13:27 น.

การเงิน หุ้น

BKA เคาะจ่ายปันผล 0.06 บาท จ่อ XD 26 พ.ค.นี้

วันพุธ ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 14.45 น.

BKA เคาะจ่ายปันผล 0.06 บาท จ่อ XD 26 พ.ค.นี้

 

บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป เผยบอร์ดไฟเขียว อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท เตรียมขึ้น XD วันที่ 26  พ.ค.นี้ เพื่อจ่ายปันผล วันที่ 9 มิ.ย. 68 พร้อมประกาศเดินหน้ารุกธุรกิจขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ด้าน CEO “พชร ธนวงศ์เกษม” ระบุ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะชะลอตัวฉุดกำลังซื้อหด แต่บริษัทฯ ยังสามารถปั้นผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ออกมาเป็นบวกด้วยรายได้จากการขายและบริการ 189.83 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,089% (YoY)

 

นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 27 พ.ค. 2568 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 พ.ค.2568 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผล วันที่ 9 มิ.ย. 2568 นี้

 

ขณะที่ปัจจัยภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐแต่บริษัทฯ ยังสามารถฝ่าวิกฤตและทำกำไรได้ โดยโชว์ผลงานไตรมาส 1/2568 ออกมาเป็นบวกโดยมีรายได้จากการขายและบริการที่ 189.83 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,089% เมื่อเทียบจากปีก่อน(YoY) ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพความแข็งแกร่งจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

 

“สำหรับสัดส่วนรายได้จากยอดขายในไตรมาส มาจาก 3 กลุ่มให้บริการ แบ่งเป็น 1. ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) มีรายได้จากการขาย 156.01 ล้านบาท 2. ธุรกิจบ้านฝาก มีรายได้จากการขาย 0.91 ล้านบาท และ 3. ธุรกิจบ้านตัด มีรายได้จากการขาย 32.91 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ ไตรมาส 1/2568 มียอดขายบ้าน รวม 34 หลัง”  

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพของบ้าน รวมถึงปรับกลยุทธ์การกำหนดราคาให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหลังของบ้านที่จำหน่ายในทุกประเภทธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และการกำหนดราคาที่มีประสิทธิภาพท่ามกลางตลาดที่ชะลอตัว

 

จากกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรีโนเวทบ้าน การคัดเลือกทำเล และการบริการหลังการขายที่มีมาตรฐาน แม้จำนวนหน่วยขายจะลดลง แต่บริษัทไม่เน้นการลดราคา หรือเร่งขายในระยะสั้น เพราะให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) พร้อมกับเดินหน้าปรับกลยุทธ์การตลาด อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายมุ่งเน้นความสำคัญด้านการรักษาคุณภาพ ความคุ้มค่า และผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวทางการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน