วันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.07 น.
ธอส.โชว์ผลงานชิ้นโบแดง 5 เดือนปล่อยกู้ใหม่แล้ว 8 หมื่นลบ.
ธอส.โชว์ ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 5 เดือนแรกไปแล้ว กว่า 8 หมื่นลบ. โตกว่าปีก่อน 30% คิดเป็น 35% ของเป้าหมายทั้งปี 2.41 แสนลบ. ยืนยัน แผ่นดินไหวไม่ส่งผลกระทบ เผยยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ยังโตสวนทิศทางตลาด 7.7% มั่นใจปล่อยสินเชื่อใหม่ทั้งปีได้ตามคาด หลังรับปัจจัยบวก จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอสังหาฯของภาครัฐ รวมถึงมาตรการ LTV ของแบงก์ชาติ
.
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้มอบหมายให้ นายวิทยา แสนภักดี รองกรรมการผู้จัดการฯ และ นางภานิณี มโนสันติ์ รองกรรมการผู้จัดการ ร่วมแถลงผลการดำเนินงานของธนาคารฯ ณ วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า สามารถปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 30.75% คิดเป็น 35% ของเป้าหมายในปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 241,780 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 1 ยังคงครองแชมป์ส่วนแบ่งการตลาดด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากถึง 42.8% และแม้จะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทว่าก็แค่ส่งผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมีเนียมของ ธอส. ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทิศทางของตลาดมากถึง 7.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนว่าประชาชนยังคงเชื่อมั่นและต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ธอส.คาดว่าช่วงเวลาที่เหลืออีก 7 เดือน นั้น ธนาคารฯ จะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยบวกมาจากการจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำที่หลากหลาย และตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการได้รับ ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท รวมถึง การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ยังจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อและมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารฯอย่างเต็มที่ หลังจากได้รับมอบนโยบายจากกระทรวงการคลัง ซึ่ง ธนาคารฯได้จัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ประกอบด้วย 1.สินเชื่อบ้าน Premier Home : หนุนกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป กรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.79% ต่อปี 2.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) ช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มในกลุ่มที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (SM) เพื่อลดจำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ลดภาระรายจ่าย สร้างแรงจูงใจให้ผ่อนชำระกับธนาคารฯต่อไป
“ในส่วนของลูกหนี้กลุ่ม SM พบว่า มีแนวโน้มลดลง แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะยังไม่ชัดเจนว่าจะเติบโตอย่างที่คาดหวังเอาไว้หรือไม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธนาคารฯมีมาตรการและสินเชื่อที่หลากหลาย ประกอบกับการกำหนดค่าผ่อนชำระรายเดือนที่ไม่สูงมาก ทำให้ปัญหาดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารฯ ส่วนปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ภาครัฐกำหนดให้ธนาคารฯต้องไม่เกิน 5.13% อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่า NPL ทั้งปี น่าจะต่ำกว่า 5%” นายวิทยา กล่าว
3.สินเชื่อซ่อม – แต่ง และสินเชื่อซ่อม - แต่ง Plus เพิ่มเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่งผลบวกในระยะสั้น โดยลูกค้าปัจจุบันที่ผ่อนชำระหนี้กับธนาคารฯไม่น้อยกว่า 2 ปีและมีประวัติชำระที่ดี สามารถกู้รวมสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท/ราย วงเงิน 100,000 บาทแรก คิดดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.00% อีก 200,000 บาท คิดดอกเบี้ย ปีที่ 1-3 คือ 1.99% ปีที่ 4-5 คือ 3.50% เพื่อนำไปปรับปรุง ต่อเติม ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และ 4.สินเชื่อ Pre Finance Premiem เพิ่มวงเงินสินเชื่อพัฒนาโครงการ (Pre Finance) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯในพื้นที่ทำเลมีศักยภาพ 27 จังหวัด ที่ต้องการซื้อที่ดิน ก่อสร้างอาคาร พัฒนาสาธารณูปโภค และค้ำประกันที่เกี่ยวเนื่องกับการทำโครงการฯ คิดดอกเบี้ยปีแรก 3.90% ปีที่ 2 เท่ากับ 4.40% ปีที่ 3 เท่ากับ 4.60% หรือเฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 4.30% ปีที่ 4-5 เท่ากับ MLR (ธนาคารฯคือ 6.10%)
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ธนาคารฯ ยังมีแนวทางในการดำเนินงานในอนาคตตามโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bank) เน้นให้ความสำคัญกับการมีที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพของลูกค้ากลุ่มเปราะบาง รวมถึงผู้สูงอายุ รองรับสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่รองรับสังคมผู้สูงวัย อาทิ โครงการบ้าน ธอส. สร้างสุขเพื่อผู้สูงวัย ปี 2568 อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.90% เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.50% กู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 40 ปี ผ่อนเริ่มต้น 4,600 บาท, โครงการสินเชื่อ Aging Home ปี 2568 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 10 ปี เท่ากับ 4.25% กู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 52 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้น 4,000 บาท สำหรับผู้มีอายุเกิน 50 ปี ต้องกู้ร่วมกับบุตรอายุ 18 ปีเต็มขึ้นไป และ โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) สำหรับผู้มีอายุ 60 ปี แต่ไม่เกิน 80 ปี