วันจันทร์ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568 19:36 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

วันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 08.44 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.71 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.78 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า ตามการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ทว่า เงินบาทก็ได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดเลือกจะเดินหน้าเทขายเงินดอลลาร์อีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังล่าสุดศาลอุทธรณ์ ได้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ที่ได้ระงับการใช้มาตรการภาษีนำเข้าก่อนหน้า เป็นการชั่วคราว ส่งผลให้มาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump 2.0 ยังคงมีผลบังคับใช้ พร้อมกันนี้ศาลอุทธรณ์ยังได้ให้เวลาฝ่ายโจทก์และฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อคำสั่งดังกล่าวภายในวันที่ 5 มิถุนายน และ 9 มิถุนายน ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมผู้เล่นในตลาดได้เพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 100% จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 70% และนอกเหนือแรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านอีกครั้งของราคาทองคำ

 

แม้ว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Nvidia +3.3% จากรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่สดใส ทว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งจำกัดการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.19% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจขึ้นกับคำตัดสินของศาล และความเสี่ยงที่ทางการสหรัฐฯ อาจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม อาทิ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่ม Pharmaceuticals ซึ่งกดดันบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ในยุโรป อาทิ Novo Nordisk -2.4% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +0.7% หลัง Nvidia รายงานผลประกอบการที่สดใส

 

ในส่วนตลาดบอนด์ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดให้ โอกาสราว 70% ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.43% อย่างไรก็ตาม เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง ทำให้ เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ก็จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip) ได้ โดยเฉพาะโซนสูงกว่าระดับ 4.50%

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกกลับเข้าถือสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 144 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 99.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-100.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้กลับมาหนุนให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะถือทองคำ อีกครั้ง กอปรกับการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยปรับตัวขึ้น เข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น แถว 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรทองคำแถวโซนแนวต้าน ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัด

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 8.30 น. ของเช้าวันเสาร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน (Official Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนได้

 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง หลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ทว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังสามารถเลือกใช้กฎหมายบางมาตรา เพื่อเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าได้

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า แม้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จะสวนทางกับการประเมินของเราในวันก่อนหน้า ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผู้เล่นในตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะ หากเห็นความเสี่ยงของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงอาจกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เพิ่มเติม ทำให้ ธีม Sell US Assets กลับมาอีกครั้ง และหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่สดใส แย่กว่าคาดด้วยเพิ่มเติม ก็จะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงสินทรัพย์สหรัฐฯ ได้ไม่ยาก

 

อนึ่ง เรามองว่า แม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจยังคงมีความต้องการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ ราคาทองคำก็มีโอกาสที่จะย่อตัวลงมาบ้าง และช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท (ทั้งนี้ เราอยากจะขอย้ำว่า ราคาทองคำควรมองเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่ทำให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้น หรือ อ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วยเช่นกัน) ส่งผลให้โดยรวมเรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจติดแถวโซนแนวรับ 3235 บาทต่อดอลลาร์ ได้ แม้เงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังติดแถว 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป หากเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง ก็จะอยู่แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์)

 

อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.75 บาท/ดอลลาร์