วันศุกร์ ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568 23:13 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

วันพุธ ที่ 04 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 09.21 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม)

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา รวมถึงช่วงวันหยุดทำการสองวันของตลาดการเงินไทย เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ตามสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กลับมาร้อนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ก็ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินบาทก็ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ที่ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งภาพดังกล่าวก็กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง แต่โดยรวมราคาทองคำยังสามารถแกว่งตัวเหนือโซนแนวรับระยะสั้นใหม่ในช่วง 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ได้กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงช่วงปลายสัปดาห์

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อีกทั้ง ควรรอติดตาม การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ผ่านรายงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤษาภาคม และที่สำคัญ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปี 2025 และเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 2-3 ครั้ง ในปี 2026 นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้กลับมาทวีความร้อนแรงมากขึ้น

 

ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 2.00% ซึ่งถือเป็นระดับ Neutral Rate ที่ทาง ECB ได้ประเมินไว้ ทั้งนี้ เราไม่ปิดโอกาสที่ ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หากแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ กลับมาน่ากังวลมากขึ้น อนึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ย เพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ (รวมการประชุมมิถุนายนที่จะถึงนี้) และมีโอกาสเพียง 23% ที่ ECB จะลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะ ประธาน ECB ในช่วง Press Conference เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB รวมถึงติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ด้วยเช่นกัน ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 64% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีนี้

 

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Caixin Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่จะเน้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง มากกว่าดัชนี Official PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ได้รายงานไปในสัปดาห์ก่อน ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนเมษายน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 79% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง +25bps ในปีนี้ ในส่วนนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.75% ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ที่ในระยะหลัง ต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

 

ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือนพฤษภาคม จะหดตัวถึง -0.8%y/y ตามฐานราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้า กอปรกับการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานโลก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จะยังอยู่แถว 0.94% ทำให้โดยรวมแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยยังไม่ได้น่ากังวลว่าจะเผชิญความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด (Deflation) มากนัก พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยและผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อภาคธุรกิจของไทย ผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้น หลังเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นพอสมควร ในช่วงวันหยุดของตลาดการเงินไทย ทว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็ติดอยู่แถวโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ สอดคล้องกับการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และการย่อตัวลงของราคาทองคำ เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เพราะ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้ แต่หากราคาทองคำไม่ได้ย่อตัวลงหนัก โดยราคาทองคำอาจยังพอได้แรงหนุน จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทวีความร้อนแรงขึ้น หรือความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจจำกัดการอ่อนค่าลงของเงินบาท (เราขอย้ำว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility ขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูง) อนึ่งเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแรงขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง โดยเฉพาะในกรณีที่ เงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ชัดเจน (อาจเห็นการขายทำกำไรสถานะ Long THB สะท้อนผ่านแรงขายบอนด์ระยะสั้นได้) ในเชิงเทคนิคัลนั้น แนวรับของเงินบาท (USDTHB) อยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.30 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์) และเมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาสดใส ส่วนบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ก็ควรเห็นความชัดเจนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์