วันพฤหัสบดี ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2568 17:01 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”

วันจันทร์ ที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 09.36 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ32.60 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 32.58-32.80 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ออกมาที่ระดับ 139,000 ตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดคาด และดีกว่ายอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่ออกมาช่วงต้นสัปดาห์ หนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลง ทว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด ส่วนเงินดอลลาร์ก็ย่อตัวลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย วันจันทร์นี้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาผสมผสาน ทั้งนี้ ยอดการจ้างงานล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงเชื่อว่า เฟดจะไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย (โอกาส 80% ในการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ปีนี้)

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ อีกทั้ง ควรรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

 

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนพฤษภาคม ที่จะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะติดตามภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) โดยเฉพาะในส่วนของ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ที่จะช่วยสะท้อนถึงความยาก ง่ายของการหางาน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนมิถุนายน ที่อาจได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งในรายงานเดียวกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะ 1 ปี และ 5-10 ปี นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงร้อนแรงอยู่

 

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษในเดือนพฤษภาคม และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนเมษายน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE อาจยังไม่เร่งรับปรับลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาพรวมเศรษฐกิจอังกฤษ โดย BOE อาจกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน และมีโอกาสราว 44% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีนี้ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB โดยผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ท่าทีของประธาน ECB ล่าสุด ที่ส่งสัญญาณว่า หลังการลดดอกเบี้ยล่าสุด นโยบายการเงินของ ECB ก็อยู่ในเหมาะสม เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนว่า ECB อาจไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เช่นกัน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในช่วงไตรมาสที่ 4 (โอกาส 85% ที่จะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนตุลาคม)

 

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมิน ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงาน อัตราเงินเฟ้อ CPI ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) รวมถึง ยอดการค้าระหว่างประเทศ ทั้ง ยอดการส่งออกและนำเข้า ในเดือนพฤษภาคม 

 

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤษภาคม อาจปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 55.4 จุด ในเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจส่งผลดีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาดีกว่าคาด (แต่ในรายละเอียดเชิงลึก อาจยังสะท้อนภาพการชะลอตัวและความเปราะบางของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ) ทว่า เงินบาทก็อาจอ่อนค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจกล่าวได้ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวแบบ Sideways Up จนกว่า ผู้เล่นในตลาดจะมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้งในปีนี้ (เช่น ปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ จากล่าสุด 80%) ซึ่งอาจต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด เพิ่มเติม หรือความชัดเจนของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายการค้า โดยเงินบาท (USDTHB) จะยังมีโซนแนวต้านแถว 32.95-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ควรจับตา ทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เนื่องจากราคาทองคำยังเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way Risk ที่อาจทำให้เงินบาทแข็งค่า หรือ อ่อนค่า กว่าที่ประเมินไว้ ตามทิศทางราคาทองคำ อนึ่งเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแรงขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง และเมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว Sideways จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะกลับมาเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชัดเจน พร้อมปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ได้

 

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.45-33.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.85 บาท/ดอลลาร์