วันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568 09:01 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

วันอังคาร ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 09.32 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.67 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.61-32.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป ส่งผลให้โดยรวม เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในลักษณะ Sideways ทั้งนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า การปรับตัวขึ้นต่อของราคาทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกจะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง และต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

 

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันพุธนี้ รวมถึงรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้รับอานิสงส์บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของ Amazon +1.6% หลังประกาศพร้อมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขยาย Data Center สำหรับธุรกิจ AI นอกจากนี้ ราคาหุ้น Tesla +4.6% ก็รีบาวด์ขึ้น หลังปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.09% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.31%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.07% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นอกจากนี้ หลายตลาดหุ้นก็ปิดทำการเนื่องในวันหยุด Whit Monday หรือ Pentecost Monday ทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินยุโรปเบาบางลงจากช่วงปกติ

 

ในส่วนตลาดบอนด์ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง แถวโซน 4.50% อนึ่ง เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เหนือโซน 144 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ท่าทีระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด รวมถึงจังหวะย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้น ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็ถูกชะลอลงจากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้ราคาทองคำ ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,322 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ได้สำเร็จ

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE มีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้

 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) เดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และที่น่าสนใจ คือ ภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ถือว่า เป็นภาคธุรกิจที่มีการจ้างงานในสัดส่วนที่สูง ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจขนาดเล็ก อาจช่วยสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้เช่นกัน

 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

 

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงระหว่างวัน ควรจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งยังคงเป็น Two-Way risk สำหรับเงินบาท (เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น กลับกัน หากราคาทองคำปรับตัวลงต่อ ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง) โดยเรามองว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจกดดันให้ ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลงเพิ่มเติมได้ ซึ่งภาพดังกล่าวจะช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แม้ว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงบ้าง หรือบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียอาจทยอยแข็งค่าขึ้น ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

 

นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทอาจยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมัน หลังในช่วงนี้ ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทยอยสูงขึ้น และอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ไม่ยาก หากตลาดมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (และคู่ค้าอื่นๆ) ส่งผลให้ดีต่อแนวโน้มความต้องการใช้พลังงาน จากภาพเศรษฐกิจโลกและบรรดาเศรษฐกิจหลักที่อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดเคยกังวล หากสถานการณ์การค้าโลกทยอยดีขึ้น 

 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ เพราะหากข้อมูลดังกล่าว ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานอังกฤษที่สดใส ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE หนุนให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งอาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้

 

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์