วันอาทิตย์ ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568 18:11 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

วันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 08.44 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.42 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.47 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งมีรายงานข่าวว่า อิสราเอลอาจเปิดฉากโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยปฏิบัติการทางทหารดังกล่าว อาจขึ้นกับการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน รอบที่ 6 ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน นี้ อย่างไรก็ดี ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางดังกล่าว ยังคงหนุนให้ ราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ราว +2.3% ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดังกล่าว อาจช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันของผู้เล่นในตลาดบางส่วน นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ออกมาต่ำกว่าคาด ขณะเดียวกัน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็เพิ่มสูงขึ้น แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดก็เพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ และปีหน้า (เดิมผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยรวม 4 ครั้ง ภายในปีหน้า ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 54% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 5 ครั้ง ภายในปีหน้า)

 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น Oracle +13.3% ที่รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ตามการเติบโตของธุรกิจ AI ก็ส่งผลบวกต่อบรรดาหุ้นธีม AI ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง Nvidia +1.5% ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงจำกัดการเดินหน้าเพิ่มความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.33% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงขึ้นก็ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรออกมาเพิ่มเติม ยกเว้น หุ้นกลุ่มพลังงาน TotalEnergies +2.2% ที่ยังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ

              

ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.32% ซึ่งเรามองว่า ความเสี่ยงของการปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังพอมีอยู่บ้าง หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ หรือปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ระดับล่าสุด อาจไม่ใช่ระดับที่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ หรือไม่แนะนำให้ Follow Buy ไล่ราคาซื้อ โดยเราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50% 

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ออกมาแย่กว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง จากการขายทำกำไรสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด หลังเงินดอลลาร์ได้อ่อนค่าลงพอสมควร อีกทั้ง หากไม่มีปัจจัยกดดันอื่นๆ เงินดอลลาร์ก็อาจพอได้แรงหนุนบ้าง ท่ามความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 97.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-98.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง กอปรกับความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 3,434 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนมิถุนายน ซึ่งในรายงานเดียวกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะ 1 ปี และ 5 ปี เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่าง การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางนั้น แม้จะช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทผ่านอานิสงส์ของการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทว่า สถานการณ์ดังกล่าวก็หนุนให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน และเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ หรืออย่างน้อยก็ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

 

นอกจากนี้ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องไปมากในระยะสั้น หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมาพอสมควรแล้ว จนล่าสุด มุมมองของผู้เล่นในตลาดถือว่าใกล้เคียงกับมุมมองของเฟดล่าสุด ใน Dot Plot การประชุม FOMC เดือนมีนาคม ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจรอติดตามการประชุม FOMC เดือนมิถุนายน ในสัปดาห์หน้า เพื่อรอลุ้น Dot Plot ใหม่ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจนต่อไป

 

อีกทั้ง หากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทยอยคลี่คลายลงได้ (ซึ่งเราคาดหวังให้เป็นแบบนั้น เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น) ราคาทองคำก็มีแนวโน้มย่อตัวลงได้ และจะกลับมาเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ยกเว้น ราคาทองคำจะได้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม จนทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งเราจะคอยติดตามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำได้ปรับเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะหากผู้เล่นในตลาดเข้าสู่ช่วง Fear of Missing Out (FOMO) แล้วไล่ราคาซื้อทองคำ ก็อาจทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทเปลี่ยนจาก เคลื่อนไหวสอดคล้องกัน เป็น เคลื่อนไหวสวนทางกัน หรือ ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

 

อนึ่ง เราคงมองว่า เงินบาทจะยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอแถวโซนแนวรับ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ยกเว้นว่า เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติมที่ชัดเจน

 

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์