วันอังคาร ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568 10:36 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

วันจันทร์ ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 09.33 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

 

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.51 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่พอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) บ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว แม้ว่าจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้โดยรวมเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังพอช่วยลดทอนแรงกดดันดังกล่าวได้บ้าง จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงไป หากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ หรือเป็นแรงซื้อลักษณะ Fear of Missing Out (FOMO)

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด (จับตา Dot Plot ใหม่) พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

 

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนมิถุนายน ที่จะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. เช้าวันที่ 19 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า FOMC จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามเดิม จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มเงินเฟ้อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ เราขอแนะนำว่า ควรจับตาการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า FOMC อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 2-3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งดูใกล้เคียงกับ Dot Plot เดือนมีนาคม ทำให้ หาก Dot Plot ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง การโจมตีระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่จะยิ่งทวีความร้อนแรงของปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และดัชนีภาคการผลิตโดยเฟด สาขานิวยอร์ก (Empire Manufacturing Index)

 

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเรามองว่า BOE อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% ก่อนที่จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน (ผู้เล่นในตลาดให้โอกาส 82% ที่ BOE จะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนสิงหาคม) ซึ่งมุมมองของเราและบรรดาผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ BOE อาจปรับเปลี่ยนไปได้ ตามรายงาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก ในเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB มีโอกาสราว 96% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้

 

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% จนกว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อให้ BOJ สามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น และยอดการค้า (Exports & Imports) ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ BOJ นอกเหนือจากผลการประชุม BOJ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI และ CBC อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% และ 2.00% ตามลำดับ ขณะที่ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.25%

 

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม อาจยังสามารถขยายตัวได้ดี ตามอานิสงส์ของการเร่งนำเข้าสินค้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจดำเนินไปจนเข้าใกล้ช่วงครบกำหนดการชะลอเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ ยอดการนำเข้าก็อาจยังขยายตัวได้ในอัตราที่สูงอยู่ ทำให้โดยรวมดุลการค้าของไทยอาจยังคงขาดดุลต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลราว -3.3 พันล้านดอลลาร์

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นจะยังมีกำลังอยู่หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทว่า เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up โดยหากเฟดปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ ที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงจากที่เคยประเมินไว้ ก็อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หากลุมลาม บานปลายมากขึ้น อาจต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานโลกอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ เราย้ำมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก ทำให้ต้องจับตาว่า ความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะหากความสัมพันธ์ยังคงเป็นเชิงบวก ในกรณีที่ ตลาดคลายกังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำก็เสี่ยงย่อตัวลงพอสมควร กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่หากความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ซึ่งเราคาดว่าอาจจะเปลี่ยนได้ ในกรณีที่ สถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น โดยภาพดังกล่าว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ (FOMO Buying) ทำให้ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด และเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงในช่วงนี้อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์บ้าง

 

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์

 

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์