วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568 12:21 น.

การเงิน หุ้น

บาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.69 บาท ต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 08.40 น.

บาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.69 บาท ต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”
 

       

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.69 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.62 บาทต่อดอลลาร์

       

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.56-32.70 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด ทว่า คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หรือ Dot Plot ใหม่ สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้ง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาด แต่ เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ต่อ ปี ในปี 2026 และ 2027 ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาดการณ์ของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ ประธานเฟดยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบเดินหน้าลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินข้อมูลให้รอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังพอสามารถรีบาวด์สูงขึ้นได้ จากที่ปรับตัวลดลงหลังรับรู้ผลการประชุมเฟด ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะคลายกังวลสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

        

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล อีกทั้ง เฟดก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.03%

       

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.36% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงของ Novo Nordisk -1.1% หลังศาลสหรัฐฯ ยืนคำตัดสินของ FDA สหรัฐฯ ในการถอดยายอดนิยมของบริษัท ทั้ง Ozempic และ Wegovy ออกจากบัญชียาขาดแคลน

        

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.39% หลังเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย อีกทั้ง Dot Plot ใหม่ ก็สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่น้อยลงกว่าที่ตลาดคาดในปี 2026 และ ปี 2027 ทั้งนี้ แม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากนัก หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด แต่เรามองว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ปัจจุบัน อาจยังไม่น่าสนใจมากนัก ทำให้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%  

       

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ก็ยังพอหนุนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.5-99.0 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) จะเผชิญแรงกดดันให้ย่อตัวหลัง ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หนุนการรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,390-3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์

       

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ต่างจากการตัดสินใจของเฟดล่าสุด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้

       

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ ก่อนที่จะจบรอบการลดดอกเบี้ย

       

และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ที่จะรายงานในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยรายงานอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว อาจส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน   

      

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็เริ่มมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่ามากขึ้น อาจกดดันให้เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง ทว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่า เร็ว แรง ไปมากนัก ตราบใดที่ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ไม่ได้พัฒนาไปสู่ วิกฤตการเมือง จนอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนต่างชาติอย่างรุนแรง นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงนั้น อาจยังคงหนุนการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ ทำให้ในระยะสั้น เงินบาทอาจยังมีโซนแนวต้านแถว 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์

        

ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ ส่วนแนวรับของเงินบาทนั้น อาจขยับขึ้นมาแถวโซน 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์

       

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

        

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.80 บาท/ดอลลาร์