วันอาทิตย์ ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568 10:52 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 09.17 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.67 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาจากทั้งโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ในฝั่งของบรรดาบริษัทเอกชน (จากการสำรวจของนักวิเคราะห์หลายๆ ที่) ในช่วงปลายเดือน รวมถึงการทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเตรียมเสนอรายชื่อประธานเฟดคนใหม่ภายในช่วง Summer ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า “ว่าที่” ประธานเฟดคนใหม่ อาจมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน และแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia +4.3% ทว่า รายงานยอดขายของ Tesla ในยุโรปที่ดิ่งลงกว่าคาด ก็มีส่วนกดดันให้ราคาหุ้น Tesla ดิ่งลงกว่า -3.8% กดดันตลาดโดยรวมเช่นกัน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง 

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.74% แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทยอยคลี่คลายลง ทว่าผู้เล่นในตลาดก็เริ่มกลับมากังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังเข้าใกล้กำหนดครบการพักเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป หลังการรีบาวด์ในช่วงระยะสั้นล่าสุด

 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศของตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.28% อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะจำกัดลง หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราก็มองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%) ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์โดยสุทธิของบรรดาบริษัทเอกชน ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดให้โอกาสราว 55%) ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 97.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.4-98.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะดูทยอยคลี่คลายลง ทว่าความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับเข้ามาช่วยหนุนความต้องการถือทองคำ กอปรกับ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีจังหวะปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง คาดการณ์ครั้งสุดท้ายของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025  ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนพฤษภาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในอนาคต

 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)     

               

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง   

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็ทยอยอ่อนค่าลง ส่วนราคาทองคำก็มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างจากโซนแนวรับ อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากในฝั่งตลาดการเงินไทย บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง แถวโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือระดับแข็งค่ากว่านั้นเล็กน้อย ในช่วงปลายเดือน ซึ่งอาจตรงข้ามกับโฟลว์ธุรกรรมของบรรดาบริษัทเอกชนในต่างประเทศ ที่ช่วงนี้เป็นฝั่งการทยอยขายเงินดอลลาร์ (Net USD Selling) และเห็นการทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Ratio) จากบรรดาผู้เล่นในตลาดมากขึ้น (ทั้งฝั่งนักลงทุนและบริษัทเอกชน) โดยหากเงินบาทสามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อทดสอบโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่า อาจเป็นโซนแนวรับที่แข็งแกร่งพอควรในระยะสั้น

 

โดยเฉพาะในช่วงนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดมากพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งต่างจากคาดการณ์ดอกเบี้ยของเฟด หรือ Dot Plot (รวมถึง มุมมองของเราพอควร) ทำให้เรามองว่า มีความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก หากผ่านช่วงโฟลว์ธุรกรรมปลายเดือนที่เป็นฝั่งขายเงินดอลลาร์สุทธิ แล้วรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาดบ้าง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจกลับมากดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินบาทได้ในช่วงที่เข้าใกล้กำหนดพักการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเราคาดว่า สุดท้าย รัฐบาลสหรัฐฯ อาจขยายเวลาไปก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าได้

 

และแม้ว่าเงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราจะกลับมาเชื่อว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน

 

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์