วันอาทิตย์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:18 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

วันพฤหัสบดี ที่ 07 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 09.31 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.31-32.41 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ (โอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ราว 43%) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ เริ่มทยอยออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็เริ่มออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) เผชิญแรงกดดันและย่อตัวลง จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน

 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของ Apple +5.1% ตอบรับข่าว Apple เตรียมประกาศข่าวการลงทุนขนานใหญ่ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.73%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.06% แม้ตลาดหุ้นยุโรปจะได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ทว่า การปรับตัวลดลงหนักของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะบรรดาบริษัทยาขนาดใหญ่ อย่าง Novo Nordisk -5.4% และความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กับ สวิซเซอร์แลนด์ ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม

 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวระดับ 4.20% แม้ผู้เล่นในตลาดจะยังคงคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 2-3 ครั้งในปีนี้ และเกือบราว 3 ครั้ง ในปีนี้ ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็มีส่วนกดดันไม่ให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ สอดคล้องกับ มุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ (และยังมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ทว่าบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,430-3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง 

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BOE อาจมีมติลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00% ทว่า BOE อาจส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์ หลังอัตราเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทว่าตลาดแรงงานส่งสัญญาณชะลอตัวลง

 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศของจีน (Exports & Imports) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงชัดเจน หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด

 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังบรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หากบรรยกาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ ราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน หรือมีจังหวะย่อตัวลง

 

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยในวันนี้ ควรจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพราะหากรายงานข้อมูลดังกล่าวยังคงออกมาสดใส ไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน เหมือนกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในสัปดาห์ก่อนหน้า ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์หรือยังพอช่วยให้เงินดอลลาร์แกว่งตัวในกรอบ Sideways เพื่อรอรับรู้รายงานข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเติมได้

 

ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป

 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์