วันอาทิตย์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568 01:26 น.

การเงิน หุ้น

‘UBE’ ประกาศแผนครึ่งปีหลัง 68 มุ่งขยายพอร์ตฯ ธุรกิจใหม่ ส่งมอบนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม

วันพฤหัสบดี ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 12.21 น.

‘UBE’ ประกาศแผนครึ่งปีหลัง 68 มุ่งขยายพอร์ตฯ ธุรกิจใหม่ ส่งมอบนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม

 

 

‘บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล’ ประกาศแผนครึ่งปีหลัง 2568 เตรียมพร้อมรับมือความท้าทายทุกรูปแบบ ด้วยกลยุทธ์มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต บริหารจัดการต้นทุน ขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจใหม่ พร้อมส่งนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่  มุ่งสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) แตกไลน์ธุรกิจร้านอาหารใหม่ จ่อลุยอาหารพร้อมทาน ทะยานสู่การเติบโตอย่างมั่นคง รับไตรมาส 2 ธุรกิจเผชิญแรงกดดันหลายปัจจัย เศรษฐกิจชะลอตัวดีมานด์เอทานอลลดลง ส่งผลให้ผลงานไตรมาส 2/2568 รายได้จากการขาย 1,311.1 ล้านบาท ลดลง 17.0% 

 

นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ UBE เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ ปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อรับแรงกดดันจากความท้าทายจากปัจจัยภายในและต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มชะลอลง พฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้การใช้น้ำมันรวมถึงเอทานอลมีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ราคาเอทานอลปรับตัวลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการด้านแข่งขันทางด้านราคา จากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาดเอทานอล รวมถึงความผันผวนของวัตถุดิบมันสำปะหลังจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ประกอบกับนโยบายอัตราภาษีนำเข้าของอเมริกา ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่า

 

บริษัทฯ จึงได้เดินเครื่องกลยุทธ์ที่ตอกย้ำผู้นำด้านพลังงานทดแทนและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน พร้อมติดตามและปรับตัวตามนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะการผลักดัน E20 ให้เป็นน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยขยายความต้องการใช้เอทานอลในประเทศ ทั้งยังวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง เพื่อรองรับกับภาวะอุปทานล้นตลาด ขณะที่ ธุรกิจแป้งมันสำปะหลังและฟลาวจะนำระบบอัตโนมัติ (Automation) โดยเตรียมเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และมุ่งขยายตลาดทั้งในประเทศและประเทศใหม่ๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและจีน โดยเน้นการเข้าถึงลูกค้าในหลากหลายช่องทาง พร้อมมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว

 

นอกจากนี้ UBE เดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความสมดุลของรายได้และลดการพึ่งพิงของธุรกิจหลัก โดยยังคงมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเข้มข้น โดยเตรียมเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ภายใต้เครือบริษัทภายในปีนี้ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาและสร้างการเติบโตกลุ่มสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value)  ด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตและการขายผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังออร์แกนิก ฟลาวมันสำปะหลัง และแป้งมันสำปะหลังพันธุ์แว็กซี่ (Organic Starch, Flour, Waxy Starch)  ขยายสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามเทรนด์ตลาดอาหารพร้อมทาน Ready-to-Eat (RTE) เพื่อพัฒนาสินค้าที่ต่อยอดจากแป้งมันสำปะหลังและฟลาว ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายช่วงต้นปี 2569 ส่วนแผนธุรกิจร้านอาหารโอชิเน เตรียมขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์อย่างน้อย 3 แห่ง

 

ขณะที่สถานการณ์ราคามันสำปะหลังในไตรมาส 3/2568 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์ชายแดนไทย และการเปลี่ยนแปลงการปลูกมันสำปะหลังไปเป็นอ้อยของเกษตรกร ซึ่งส่งผลต่อปริมาณวัตถุดิบลดลงและราคามีแนวโน้มปรับสูงกว่าที่คาด บริษัทฯ จึงดำเนินกลยุทธ์ในการจัดหาวัตถุดิบจากหลากหลายพื้นที่ เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านปริมาณและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและรักษาอัตรากำไรให้มั่นคง และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ราคาเอทานอลที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากการแข่งขันที่รุนแรงและความต้องการใช้เอทานอลเฉลี่ยเพียงประมาณ 3.4 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่กำลังการผลิตรวมของประเทศอยู่ที่ 7–8 ล้านลิตรต่อวัน

 

“เรายังคงมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ความท้าทายจะถาโถมเข้ามาครึ่งปีหลัง ธุรกิจเอทานอลต้องจับตาสัญญาณบวก โดยเฉพาะนโยบายภาครัฐที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้น้ำมัน E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐาน หากผลักดันได้สำเร็จ จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้เอทานอลในประเทศให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต ซึ่งถือเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้สู่การเติบโต ส่วนนโยบายอัตราภาษีนำเข้าของอเมริกาคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากประเทศคู่แข่งอัตราภาษีอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ฟลาวยังคงเป็นตลาดหลักในอเมริกา เพราะความต้องการสินค้าฟลาวที่ได้มาตรฐานตามกฎหมายอเมริกายังมีสูง จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการเพิ่มการผลิตให้ได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันได้ และก้าวใหม่ของ UBE สู่ตลาดอาหาร เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากมันสำปะหลัง อีกทั้งอาหารยังจำเป็นสำหรับทุกคนและทำให้เราใกล้ชิดผู้บริโภคมากขึ้น โดยต่อไป เราจะมุ่งเน้นการตอบโจทย์ด้านความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) โดยมีร้านอาหารเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ” นางสาวสุรียส กล่าว

 

นางสาวสุรียส กล่าวถึง ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ส่งผลให้ผลงานไตรมาส 2/2568 มีรายได้จากการขาย 1,311.1 ล้านบาท ลดลง 17.0% และผลประกอบการขาดทุน 128.1 ล้านบาท จากกำไร 42.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีขาดทุนต่อหุ้นเท่ากับ -0.031 บาท/หุ้น สาเหตุหลักจากรายได้ธุรกิจเอทานอลลดลงมาอยู่ที่ 628.0 ล้านบาท ลดลง 43.4%  เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากราคาเฉลี่ยเอทานอลปรับตัวลดลง 37% จากการเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่มีความรุนแรง ขณะที่ปริมาณสินค้าคงเหลือในประเทศที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่รายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 462.9 ล้านบาท เติบโต 15.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากปริมาณการขายแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิกและแป้งมันสำปะหลังเกรด HVP เติบโต ขณะที่รายได้จากธุรกิจอื่นๆ จากผลิตภัณฑ์กาแฟเป็นหลัก 43.0 ล้านบาท ลดลง 37.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และมีรายได้จากธุรกิจอาหาร 177.2 ล้านบาทจากการเข้าลงทุนในธุรกิจร้านอาหารเมื่อปลายปี 2567 โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 935.7 ล้านบาท และรายได้ต่างประเทศ 275.4 ล้านบาท เติบโตจากการส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังและฟลาวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ ผลจากการที่ UBE มีความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานอย่างหนัก โดยได้รับรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจ โดยสามารถคว้ารางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2568 ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น ประเภทส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ จากผลิตภัณฑ์ฟลาวมันสำปะหลังออร์แกนิก ตราทาสุโกะ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สะท้อนถึงศักยภาพของเครือ UBE ในการยกระดับวัตถุดิบการเกษตรของไทย โดยเฉพาะมันสำปะหลังอินทรีย์ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสุขภาพผู้บริโภค ตอกย้ำการขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้ง ยังดำเนินโครงการ ‘อุบลโมเดล’ โดยร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร เพื่อยกระดับการผลิตมันสำปะหลังให้มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ สนับสนุนเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาว ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) ที่บริษัทฯ ยึดถือเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจ