การเงิน หุ้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.31 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหว้ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.35 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP เดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 5.4 หมื่นราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ราว 7 หมื่นราย ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 2.37 แสนราย สูงกว่าคาดราว 7 พันราย ขณะที่ ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด 51 จุด สะท้อนภาวะการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาน่าผิดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์ 5 กันยายน นี้ อาจสะท้อนภาพการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ (ตลาดคาดยอดการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 7.5 หมื่นราย) กอปรกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง John Williams (NY Fed) ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ อาจไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยกังวล ทำให้เฟดสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ โดย John Williams ระบุว่า เฟดก็สามารถทยอยลดดอกเบี้ยสู่ระดับ Neutral Rate แถวโซน 3.00% ซึ่งถ้อยแถลงของ John Williams ก็สอดคล้องกับบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนในช่วงนี้ ที่แสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ และสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของเฟด โดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานดังกล่าว กอปรกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ได้ทำให้ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาส 42% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งในปีนี้ และมีโอกาสราว 20% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 4 ครั้ง ในปี 2026
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างปรับตัวสูงขึ้น นำโดย Amazon +4.3%, Netflix +2.6% และ Nvidia +0.6% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.98% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.83%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.61% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML +3.6% ตามความคาดหวังต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอังกฤษและกลุ่มประเทศสมาชิกยูโรโซน อย่าง ฝรั่งเศส ก็ลดลงบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นสินค้าแบรนด์เนมที่พึ่งพาตลาดจีน อย่าง LVMH -4.2% หลังตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงหนักในช่วงนี้ จากความกังวลว่า ทางการจีนอาจเข้าควบคุมความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด กอปรกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่ออกมาสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟด (แม้จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เฟดควรลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายนหรือไม่) ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.15% ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนไปตามการมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยยังพอมีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังจากนี้ (ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน) ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง (เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว) ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดอาจยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งจะหนุนให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%) ส่วนความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ นั้นอาจทยอยลดลงบ้าง ส่งผลให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางชัดเจนในกรอบ Sideways ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็รอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงวันศุกร์ที่ 5 กันยายน นี้ อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์อย่างชัดเจน ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) เคลื่อนไหวแถวโซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ก็เผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างก็รอลุ้น รอลุ้นข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,600-3,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในเดือนสิงหาคม
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การเมือง ซึ่งอาจมีการโหวตลงมติเลือกนายกฯ คนใหม่ภายในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน นี้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยอาจยังติดโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับก็ไม่ควรจะต่ำกว่าโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปมากนัก หลังผู้เล่นในตลาดได้รับรู้แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดไปพอสมควรแล้ว โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างมีนัยสำคัญ อีกครั้ง หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ นั้น ผู้เล่นในตลาดควรจับตาแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการโหวตลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในวันนี้โดยความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองไทย อาจส่งผลบวกต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทย และอาจพอช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง แต่คาดว่า อาจไม่มากนัก เนื่องจากสุดท้ายผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ
เราขอย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ โดยสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมาสะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) อาจผันผวนในระดับ +/-1 SD ราว +0.6%/-0.4% ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว ราว 30 นาที ซึ่งในการรายงานยอดการจ้างงานเดือนกรกฎาคม ที่ยอดการจ้างงานออกมาแย่กว่าคาดพอสมควรนั้น ได้ส่งผลให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้น -0.9% ซึ่งถือว่าเป็นระดับ เกิน -2 SD
โดยเรามองว่า หากยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น +7.5 หมื่น ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 4.3% ตามคาด ผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากนัก ทำให้ การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากปัจจุบัน เงินบาท (USDTHB) ก็อาจแกว่งตัวแถวระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้
แต่หากยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด เช่น +9 หมื่น ตำแหน่ง ขึ้นไป ส่วนอัตราการว่างงาน ก็ทรงตัวที่ระดับ 4.2% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยลงบ้าง โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ ซึ่งตลาดประเมินโอกาสราว 42% โดยภาพดังกล่าวอาจหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท โดยเงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือปรับตัวขึ้นทะลุโซนดังกล่าว (แนวต้านถัดไป 32.65 บาทต่อดอลลาร์) ได้
ในทางกลับกัน หากยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน เช่น เพิ่มขึ้นน้อยกว่า/เท่ากับ +5 หมื่น ตำแหน่ง (ซึ่งมีความเป็นไปได้ เนื่องจากสถิติในอดีตที่ผ่านมา เดือนสิงหาคมมักจะมีการรายงานยอดการจ้างงานต่ำกว่าคาด) ส่วนอัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้น สู่ระดับ มากกว่า/เท่ากับ 4.3% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจเริ่มมองว่า เฟดมีความจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยิ่งกดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น พร้อมกับหนุนราคาทองคำและเงินบาท ทว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้หรือไม่นั้น เรามองว่า จะขึ้นกับ พฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดต่อโฟลว์ธุรกรรมทองคำ เพราะหากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ ก็อาจทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าว ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
และที่สำคัญ เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในส่วนของ Transshipment Tariffs และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.55 บาท/ดอลลาร์
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่