วันอาทิตย์ ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568 02:01 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

วันพฤหัสบดี ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568, 08.59 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.99-32.14 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยเฉพาะแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2026 จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ในช่วงนี้ ที่สะท้อนว่า เฟดยังคงระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จากความเสี่ยงเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันก่อน จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนกันยายน ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 87.7 จุด แย่กว่าคาด ซึ่งทางฝั่ง IFO ก็มองว่า ทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ยังสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจใหญ่ อย่าง เยอรมนี ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับสัญญาณเชิงเทคนิคัลที่มีความ Bearish ต่อแนวโน้มราคาทองคำมากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าพอสมควร แต่การอ่อนค่าก็ยังมีความค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ Alphabet -1.8%, Oracle -1.7% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในปี 2026 ลงบ้าง จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้ ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของ Tesla +4.0% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.33% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.19% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม นำโดย Hermes -3.1% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน จากอานิสงส์ของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ซึ่งการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรัสเซียโดยกองทัพยูเครนล่าสุด ก็มีส่วนหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ในช่วงนี้ ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในปี 2026 ลงบ้าง กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาทยอยปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 4.14% สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ทั้งนี้ เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) หลังรายงานดัชนี IFO Business Climate ของเยอรมนี ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนมองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.5-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่อาจเริ่มสถานะ Short ทองคำ หลังในเชิงเทคนิคัลนั้น ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง จากภาพ RSI Bearish Divergence ใน Time Frame Daily ทำให้โดยรวม ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ อย่าง Existing Home Sales นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ที่จะรับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้  

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มมีกำลังมากขึ้น หลังเงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยอ่อนค่าลง มากกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า และสามารถทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following การอ่อนค่าของเงินบาทดังกล่าว จะเพิ่มโอกาสที่เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งอาจเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้ โดยโซนแนวต้านถัดไปของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยเรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออก ก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ในช่วงดังกล่าว

นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เข้าสู่ช่วงการพักฐาน อีกทั้ง ในระยะสั้น เรามองว่า ควรจับตาการปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะ บอนด์ไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติ อย่างใกล้ชิด หลังล่าสุด Fitch Ratings ได้ปรับคงเครดิตเรทติ้งของไทย ไว้ที่ระดับ BBB+ แต่มีการปรับลดแนวโน้มลง เป็น Negative จาก Stable ท่ามกลางความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังของไทย จากความวุ่นวายของสถานการณ์การเมือง และแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันรอบด้าน โดยจากงานวิจัยในอดีต เราพบว่า การปรับลดแนวโน้มดังกล่าว อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า บรรดา Rating Agency อาจมีการปรับลดเครดิตเรทติ้งตามมาในอนาคต ส่งผลให้ บรรดานักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ต่างทยอยขายสินทรัพย์ของประเทศนั้นๆ ออกมาก่อน อนึ่ง เรามองว่า แม้บรรดานักลงทุนต่างชาติจะทยอยขายสินทรัพย์ไทย อย่างบอนด์ไทยระยะยาวเพิ่มเติม แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อได้ ตามแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสลดดอกเบี้ยจากระดับ 1.50% ในปัจจุบัน สู่ระดับ 1.00% ภายในปีหน้า

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.95-32.20 บาท/ดอลลาร์