วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 15:38 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 09.08 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.49 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีความพยายามอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวลดลงบ้างของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่อาจมีการชะลอการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา หลังภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ ที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในฝั่งสถานะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่นได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ จากทั้งประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น ภายใต้นายกฯ Sanae Takaichi สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวญี่ปุ่น และประเด็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนล่าสุด ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกชะลอลงบ้างแถวโซนแนวต้าน หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว หรือปรับลดสถานะถือครอง อย่างสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง

              บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อีกครั้ง อาทิ Nvidia -1.9% ซึ่งอาจเป็นการปรับลดสถานะถือครองลงบ้าง ก่อนรับรู้ผลประกอบการของ Nvidia ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้ ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Alphabet +3.1% จากรายงานการเข้าซื้อหุ้น Alphabet โดย Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.92% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.84%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อ -0.54% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ ประเด็นรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นล่าสุด ยังได้กดดันบรรดาหุ้นสินค้าแบรนด์เนมที่มียอดขายในจีนพอสมควร อาทิ Kering -2.2%, LVMH -2.0% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Utilities และกลุ่ม Healthcare

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 4.14% โดยแม้จะเผชิญแรงกดดันบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในส่วนของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งล่าสุดได้อ่อนค่าลงทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ จากประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของญี่ปุ่นและปัญหารอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่โซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.3-99.6 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงสู่โซน 4,010 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานยอดการจ้างงานรายสัปดาห์ โดย ADP 

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้ ยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports and Imports) เดือนตุลาคม ในช่วง 06.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ที่จะรับรู้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ รวมถึง รายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่จะรับรู้ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ในช่วง After Market ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังในช่วงที่ผ่านมา บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ทั่วโลกได้ทยอยปรับตัวลดลง จนทำให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากประเมินเชิงเทคนิคัล ดัชนี S&P500 และดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ก็ย่อตัวลง เข้าสู่โซนที่เสี่ยงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังหลุดโซนแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน

อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า อาจระวังความผันผวนจากการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 155 เยนต่อดอลลาร์ เปิดความเสี่ยงที่ เงินเยนญี่ปุ่นอาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เร็ว หากตลาดเผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยงที่รุนแรง (Sell-Off) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก จากการศึกษาข้อมูลในอดีตของเรา พบว่า หากเงินเยนญี่ปุ่นเคลื่อนไหวแตกต่างจากระดับที่ประเมินจากโมเดลคาดการณ์โดยใช้ส่วนต่างบอนด์ยีลด์ระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น อย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งปัจจุบัน โมเดลดังกล่าว ชี้ว่า เงินเยนญี่ปุ่นควรอยู่ที่ระดับ 145-150 เยนต่อดอลลาร์) เงินเยนญี่ปุ่นก็สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าหรืออ่อนค่า “เร็ว แรง” ได้ หากมีปัจจัยมากระตุ้น นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาการสื่อสารจากกระทรวงการคลังและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ถึงแนวโน้มการเข้าแทรกแซงค่าเงินอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุด เราพบว่า ทางการญี่ปุ่นได้ทยอยสื่อสารว่า เงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าต่อเนื่องพอสมควรและอาจสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจได้ ทว่า ถ้อยแถลงของทางการญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการเข้าแทรกแซงค่าเงินในระยะสั้น (สเกลความเสี่ยงเข้าแทรกแซงค่าเงิน อาจอยู่ในระดับ 6-7 จาก 10 ที่จะเป็นระดับชี้ว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงค่าเงินในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า ระดับ 160 เยนต่อดอลลาร์ อาจเป็นโซนที่ทางการญี่ปุ่นพร้อมเข้าแทรกแซงเต็มที่)

นอกจากนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานรายสัปดาห์จากทาง ADP ที่แม้จะเป็นข้อมูลจากฝั่งเอกชน หรือ Alternative Data แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์