วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568 02:38 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 09.30 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.77 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 31.60-31.87 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปี 2026 มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ได้อานิสงส์จากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ เริ่มเผชิญความไม่แน่นอน จากประเด็นความกังวลต่อผลประกอบการของหุ้นธีม AI รายใหญ่ อย่าง Oracle -10.8% ซึ่งส่งผลกดดันให้ บรรดาหุ้นธีม AI ต่างปรับตัวลดลง

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังพอได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้น AI ใหญ่ อย่าง Oracle -10.8% ซึ่งกดดันให้บรรดาหุ้นธีม AI ต่างปรับตัวลดลง ส่งผลโดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.21% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -0.25%  

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.55% ตอบรับความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟด นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและหนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการย่อตัวลงของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาทิ ASML -0.5%

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ 4.10%-4.16% แม้ผู้เล่นในตลาดจะเชื่อว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2026 มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด  ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ทิศทางตลาดการเงินโดยรวมที่ปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลผลประกอบการของหุ้น AI ใหญ่ อย่าง Oracle มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 98.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.7 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปี 2026 มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด กอปรกับภาวะระมัดระวังตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้น AI อย่าง Oracle ยังคงช่วยให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งอังกฤษ อย่าง ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรายเดือน (Monthly GDP) ในเดือนตุลาคม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็มีส่วนส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงสถานการณ์การเมืองไทย หลังนายกฯ ได้ประกาศยุบสภา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ในส่วนของเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ทว่า อาจต้องรอติดตามบรรยากาศในตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นธีม AI อย่าง Oracle มากขึ้น ทำให้ หากตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ และช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แต่ภาวะดังกล่าวจะหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้มากน้อยเพียงใด อาจต้องติดตามว่า ผู้เล่นในตลาดจะเลือกถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือเลือกจะที่หลบความผันผวนในเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย หลังนายกฯ ได้ประกาศยุบสภา แม้จะเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน อย่าง สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากบรรดาผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็อาจเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง โดยอาจจะเน้นที่ฝั่งหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากในส่วนบอนด์นั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บอนด์ระยะยาวไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดยังมั่นใจว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์