วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 14:35 น.

ต่างประเทศ

จริงหรือแค่สร้างภาพ! "ทรัมป์" ไกล่เกลี่ยไทย-กัมพูชาสำเร็จ สุดภูมิใจเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 14.50 น.

ในโลกการเมืองระหว่างประเทศ ผู้นำของชาติมหาอำนาจมักมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ การทหาร และการทูตที่มีอิทธิพลสูงสุดแห่งหนึ่งในโลก ปรากฏการณ์ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา อีกครั้งในปี 2568 จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และจิตวิทยาทางการเมือง

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทของทรัมป์ในฐานะ “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ” ทั้งในเชิงการแสดงออกทางนโยบาย แนวทางการทูต และผลกระทบในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยอ้างอิงจากกรณีไกล่เกลี่ยไทย–กัมพูชา ตลอดจนบทบาทของเขาในประเด็นความขัดแย้งอื่น ๆ ทั่วโลก

1. บทบาทของทรัมป์ในความขัดแย้งไทย–กัมพูชา
การเผชิญหน้าเชิงทหารระหว่างไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดนในช่วงปี 2568 นำไปสู่ความวิตกของประชาคมโลกถึงความเป็นไปได้ในการเกิดความรุนแรงลุกลาม โดยเฉพาะหลังข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลวซ้ำหลายครั้ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้แนวทางการทูตแบบ “แข็งกร้าวเชิงบวก” (coercive diplomacy) ด้วยการประกาศว่า สหรัฐฯ จะยุติข้อตกลงการค้ากับทั้งไทยและกัมพูชาหากยังมีการใช้ความรุนแรงต่อกัน นอกจากนี้ เขายังติดต่อโดยตรงกับผู้นำทั้งสองประเทศผ่านช่องทางพิเศษ ส่งผลให้การเจรจาระดับผู้นำเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน เป็นผู้ประสานงาน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การประกาศข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศ ซึ่งทรัมป์อ้างว่าเป็นความสำเร็จจากการแทรกแซงของตน และเขาได้โพสต์ข้อความแสดงความภูมิใจผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียว่า “ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ”

2. นโยบายการทูตแบบทรัมป์: การบีบบังคับเชิงยุทธศาสตร์
บทบาทของทรัมป์ในเวทีการต่างประเทศแตกต่างจากผู้นำทั่วไปอย่างชัดเจน เขาไม่เน้นการใช้ถ้อยคำประณีตทางการทูต หากแต่ใช้แรงกดดันด้านเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อผลักดันให้เกิดการเจรจา โดยอาศัยจุดแข็งของสหรัฐในฐานะประเทศที่มีอำนาจต่อรองสูง เช่น กรณีข่มขู่ยุติความร่วมมือทางการค้ากับไทยและกัมพูชา

แนวทางนี้คล้ายกับที่ทรัมป์เคยใช้ในช่วงดำรงตำแหน่งก่อนหน้า เช่น การประชุมสุดยอดกับเกาหลีเหนือ การกดดันจีนในประเด็นเศรษฐกิจ และล่าสุดในปี 2568 เขายังคงใช้ยุทธศาสตร์เดียวกันกับกรณีรัสเซีย–ยูเครน โดยกำหนดเส้นตายให้รัสเซียเจรจาสันติภาพ มิฉะนั้นจะถูกคว่ำบาตรครั้งใหม่

3. ความเคลื่อนไหวต่อกรณีอื่น ๆ: ยูเครน–รัสเซีย, กาซา และเอเชียใต้
บทบาทของทรัมป์ไม่ได้จำกัดเพียงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขายังเคลื่อนไหวในอีกหลายจุดความขัดแย้ง:

กรณียูเครน–รัสเซีย: ทรัมป์กำหนดเส้นตาย 10–12 วันให้รัสเซียเข้าสู่โต๊ะเจรจา มิเช่นนั้นจะเผชิญกับมาตรการลงโทษขั้นรุนแรงยิ่งขึ้น

กรณีฉนวนกาซา: เขาวิจารณ์อิสราเอลว่าไม่ยอมเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซา ยืนยันว่า “การหยุดยิงโดยสมบูรณ์” เป็นทางออกเดียว

กรณีอินเดีย–ปากีสถาน: ทรัมป์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากบทบาทในการยุติความตึงเครียดบริเวณชายแดน

แนวทางเหล่านี้แม้จะถูกวิจารณ์ว่ารุนแรง แต่ก็สะท้อนแนวคิดทางการเมืองของทรัมป์ที่ว่า “สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีผู้นำที่กล้าตัดสินใจและลงมืออย่างเด็ดขาด”

4. ข้อถกเถียง: สันติภาพจริง หรือแค่การสร้างภาพ?
แม้ทรัมป์จะอ้างความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งหลายพื้นที่ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จำนวนไม่น้อยว่า เขาใช้การทูตเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ฤดูเลือกตั้ง

อีกทั้ง การแทรกแซงอย่างแข็งกร้าวอาจกระทบต่อความเป็นกลางของสหรัฐในเวทีโลก และหากไม่มีการติดตามผลในระยะยาว ความสงบที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียง "หยุดชั่วคราว" มากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

บทสรุป
กรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาแทรกแซงและไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา ถือเป็นบทบาทของผู้นำที่ใช้ “พลังแข็ง” ผสาน “พลังอ่อน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเชิงยุทธศาสตร์ แม้จะมีข้อถกเถียงถึงแรงจูงใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาส่งผลให้เกิดการหยุดยิงและลดความรุนแรงในทันที

ด้วยแนวทางที่ไม่เหมือนใคร ทรัมป์จึงกลายเป็นผู้นำที่ “ทั้งโลกจับตา” ในฐานะผู้ใช้วิธีการนอกกรอบ แต่ส่งผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในเวทีโลก และอาจมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการถูกจารึกว่าเป็น “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
 
 

หน้าแรก » ต่างประเทศ