วันจันทร์ ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568 20:27 น.

ต่างประเทศ

"ทรัมป์" วืดโนเบลสาขาสันติภาพ ส่งผลกระทบต่อปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา

วันเสาร์ ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 10.03 น.

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกิดจากกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา พลาดการได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2568 และปฏิกิริยาตอบสนองเชิงนโยบายของเขาที่ส่งผลสะเทือนต่อภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการเลื่อนหรือชะลอข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวทีอาเซียน ผลการวิเคราะห์พบว่า การตัดสินใจของทรัมป์ในการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 100% และการประกาศไม่เข้าร่วมการประชุม APEC และอาเซียน ได้ส่งผลให้บรรยากาศความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชะงักงัน โดยเฉพาะในประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา ที่เดิมคาดว่าจะมีการลงนามข้อตกลงทางสันติภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมาเลเซียและประเทศสมาชิกอาเซียน

รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการยอมรับผู้นำที่มีบทบาทสร้างสันติภาพในระดับโลก ในช่วงปี 2568 มีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจได้รับรางวัลดังกล่าวจากบทบาทในการส่งเสริมการเจรจาในตะวันออกกลางและการเชื่อมสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม เมื่อผลประกาศรางวัลออกมา ทรัมป์ไม่ได้รับรางวัล ทำให้เกิดกระแสวิเคราะห์ทางการเมืองระหว่างประเทศว่า การ “วืดรางวัลโนเบล” ส่งผลให้ทรัมป์แสดงปฏิกิริยาเชิงนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อ.กฤษฎา บุญเรือง จากสหรัฐฯ ชี้ว่า “No Nobel, No ASEAN, No APEC” คือภาพสะท้อนของความผิดหวังและอารมณ์ทางการเมืองของทรัมป์ ที่ทำให้เกิดผลกระทบในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังจะจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ณ ประเทศมาเลเซีย และมีแผนลงนามข้อตกลงสันติภาพชายแดนไทย–กัมพูชา

1. พฤติกรรมเชิงนโยบายของทรัมป์หลังพลาดรางวัลโนเบล

หลังจากที่ไม่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตอบโต้การควบคุมการส่งออก “แร่หายาก” (rare earths) ของจีน ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศผลรางวัลโนเบล ส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกาตกฮวบทันที

จากมุมมองทางจิตวิทยาการเมือง การตอบสนองนี้สะท้อนภาวะ “Reactive Policy” หรือการใช้นโยบายตอบโต้ทางอารมณ์ มากกว่าการวางยุทธศาสตร์อย่างมีแบบแผน โดยเฉพาะการขู่ว่าจะไม่เข้าร่วมการประชุม APEC และอาเซียน ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือสำคัญในภูมิภาคเอเชีย

2. ผลกระทบต่อเวทีความร่วมมือระดับภูมิภาค

การที่ทรัมป์แสดงท่าทีถอนตัวจากการประชุม APEC และอาเซียน ส่งผลกระทบต่อสมดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงกับสหรัฐฯ เช่น ไทย มาเลเซีย และกัมพูชา

เดิมทีมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียน มีความตั้งใจที่จะให้ทรัมป์เป็นประธานในพิธีลงนาม “ข้อตกลงสันติภาพชายแดนไทย–กัมพูชา” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยุติข้อพิพาทพื้นที่รอยต่อบริเวณปราสาทพระวิหารและเขตเศรษฐกิจชายแดนตะวันออก การไม่มาของทรัมป์จึงทำให้ความพยายามของอาเซียนในครั้งนี้ขาด “แรงสนับสนุนทางการเมืองระหว่างประเทศ” และทำให้การลงนามต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

นอกจากนี้ ท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ต่อจีนยังทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องปรับท่าทีระหว่างสองมหาอำนาจ ซึ่งอาจส่งผลให้การดำเนินนโยบายสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาถูกลดความสำคัญลงในระยะสั้น

3. การเชื่อมโยงกับปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา

ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนทางประวัติศาสตร์และการเมือง โดยเฉพาะกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่รอยต่อเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ซึ่งเดิมมีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขผ่านกระบวนการทางการทูตภายใต้กรอบอาเซียน

การที่ทรัมป์ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมอาเซียนและไม่มีบทบาทในการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค ทำให้ความคาดหวังต่อการลงนามสันติภาพระหว่างไทย–กัมพูชาต้องหยุดชะงัก นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการไม่มีผู้นำสหรัฐฯ เข้าร่วมเป็น “สัญญาณทางการทูต” ที่ลดแรงจูงใจของประเทศคู่กรณีในการเร่งหาข้อยุติ

4. วิเคราะห์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Analysis)

ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ การพลาดรางวัลโนเบลของทรัมป์สะท้อนถึงการลดลงของ “Soft Power” ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการเป็นผู้ชี้นำกระบวนการสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประกาศขึ้นภาษีจีน 100% ยังทำให้เกิดการแบ่งขั้วในเชิงเศรษฐกิจ และสร้างแรงกดดันต่อประเทศอาเซียนที่ต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

กรณีของไทยและกัมพูชาซึ่งอยู่ในแนวพรมแดนที่เป็นยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของจีน (โครงการ One Belt One Road) ยิ่งต้องระมัดระวังในการดำเนินนโยบาย ทั้งนี้ การที่ทรัมป์มีท่าทีห่างเหินจากอาเซียนอาจทำให้จีนมีโอกาสขยายอิทธิพลทางการทูตในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้สมดุลอำนาจเปลี่ยนไป และอาจกระทบต่อเสถียรภาพชายแดนไทย–กัมพูชาในระยะยาว

สรุปผลการวิเคราะห์

กรณี “ทรัมป์พลาดรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ” ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับภาพลักษณ์ของผู้นำสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการชะลอความร่วมมือด้านสันติภาพชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเคยได้รับการผลักดันในเวทีอาเซียน การตอบสนองทางนโยบายที่เร่งด่วนและแข็งกร้าวของทรัมป์ต่อจีน อาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทในฐานะ “ผู้สนับสนุนสันติภาพ” ในภูมิภาค

ในเชิงภาพรวม บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การเมืองระดับโลกและความทะเยอทะยานส่วนบุคคลของผู้นำมหาอำนาจ สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการสร้างสันติภาพระดับภูมิภาคได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการกำหนดนโยบายต่างประเทศของประเทศอาเซียนในอนาคต