วันศุกร์ ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 04:44 น.

ไอที

ภายใต้การผนึกกำลังของ “กองวัณโรค” “คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล” และ “กรุงเทพมหานคร”   เร่งขับเคลื่อนแผนยุติวัณโรค “YES! We Can End TB”

วันศุกร์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567, 07.16 น.

ภายใต้การผนึกกำลังของ “กองวัณโรค” “คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล” และ “กรุงเทพมหานคร”   เร่งขับเคลื่อนแผนยุติวัณโรค “YES! We Can End TB”

ย้ำพบเชื้อเร็วรักษาได้ หลังยอดการติดเชื้อ-เสียชีวิตในไทยพุ่งสูงขึ้น


 

บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่าเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลแบบพกพาจาก “ฟูจิฟิล์ม” ได้รับความไว้วางใจจากโครงการคัดกรองวัณโรคเชิงรุกในชุมชน “ดุสิตโมเดล” หลังกองวัณโรค กรมควบคุมโรค เร่งขับเคลื่อนแผนการยุติวัณโรค “YES! We Can End TB ยุติวัณโรค เราทำได้” ด้วยการผนึกกำลังกับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลและกรุงเทพมหานคร นำนวัตกรรมล้ำสมัยอย่าง FDR Xair System เครื่องเอกซเรย์แบบพกพาที่มาพร้อม AI จากฟูจิฟิล์ม ซึ่งจัดซื้อผ่านกองทุนโลก ไปใช้ในภารกิจคัดกรองวัณโรคเชิงรุกในชุมชนดุสิตโมเดล เดินหน้าสร้างความตระหนักรู้ในสังคมไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงของการติดเชื้อวัณโรคในไทย พร้อมเน้นย้ำการตรวจคัดกรองเชิงรุกเป็นหัวใจสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมายการยุติวัณโรคของประเทศ

 

พญ.ผลิน กมลวัทน์ แพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค ที่ปรึกษาและอดีตผู้อำนวยการกองวัณโรค เล่าถึงสถานการณ์วัณโรคล่าสุดในไทยว่า “ไทยมีผู้ป่วยวัณโรค 155 คนต่อประชากรแสนคน และคาดว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ในไทยปีละกว่า 111,000 คน ส่วนอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 12,000-14,000 คนต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 40 คนต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยประเทศไทยมีแผนการยุติวัณโรค ซึ่งเป้าหมายคือการควบคุมตัวเลขผู้ป่วยให้เหลือต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2578 แต่ปัจจุบันสถานการณ์ยังน่ากังวลอยู่มาก ความท้าทายหลักที่ต้องสร้างความตระหนักรู้คือ โรคนี้ใช้เวลาฟักตัวนานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไปจนอาจนานถึง 5-10 ปี หลายคนไม่แสดงอาการ ดังนั้นการใช้เครื่องเอกซเรย์ปอดดูความผิดปกติเป็นสิ่งจำเป็นในการคัดกรองค้นหาผู้ป่วยให้เจอและรักษาให้หาย ถือเป็นหัวใจของการต่อสู้กับโรคนี้ หากมีการใช้เครื่องเอกซเรย์พกพาในพื้นที่เสี่ยง ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองได้เป็นอย่างดี ซึ่งล่าสุดกองวัณโรคได้รับการสนับสนุนจากกองทุนโลก (Global Fund) ในการต่อสู้กับวัณโรค จึงได้จัดซื้อเครื่องเอกซ์เรย์แบบพกพาทั้งสิ้น 16 เครื่อง และได้ส่งมอบให้แก่หลายโรงพยาบาลเพื่อใช้การคัดกรองวัณโรคเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล โดยระหว่างการออกตรวจในชุมชน เมื่อพบความผิดปกติที่ปอด จะส่งต่อไปตรวจเสมหะเพื่อยืนยันผลการติดเชื้อทันที จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยการรับประทานยาทุกวันจนครบ 6-8 เดือนก็สามารถหายจากโรคได้ ถ้าทำให้การออกตรวจคัดกรองเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ เราจะเจอผู้ป่วยได้อีกมากและขยับใกล้เป้าหมายการยุติวัณโรคมากขึ้น”

 

นายแพทย์พิภู ถาวรชีวิน อาจารย์สาขาโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตระบบการหายใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวถึงที่มาของดุสิตโมเดลและการตรวจคัดกรองวัณโรคเชิงรุกในเขตกทม.ว่า “ดุสิตโมเดล เป็นโครงการชุมชนต้นแบบด้านบริการสุขภาพเขตเมืองในโรคต่างๆที่เชื่อมต่อการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยระหว่างศูนย์บริการสาธารณสุขในชุมชนกับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลโดยตรง ชุมชนดุสิตโมเดล ดูแลประชากรในพื้นที่ 4 เขต ได้แก่ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตบางซื่อ และเขตบางพลัด โดยทำงานร่วมกับศูนย์บริการสาธารณสุข 7 แห่ง และคลินิกชุมชนอบอุ่น 4 แห่งในพื้นที่ซึ่งมีประชากรที่ดูแลอยู่ประมาณ 180,000 ราย หนึ่งในปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะชุมชนเขตเมืองที่มีความแออัดพบว่าวัณโรค เป็นภัยเงียบที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน ผู้ป่วยจำนวนมากไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ การตั้งรับรอผู้ป่วยเข้ามาโรงพยาบาลอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เราจึงริเริ่มโครงการคัดกรองวัณโรคเชิงรุกในชุมชนดุสิตโมเดล (TB V Find) ภายใต้ความร่วมมือและการสนับสนุนจากกองวัณโรค และสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยอาศัยเครื่องเอกซเรย์แบบพกพาทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่แออัดที่เข้าถึงได้ยาก ประชาชนสามารถเข้ารับการคัดกรองเอกซเรย์โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาล อีกทั้งยังผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรค เมื่อพบความผิดปกติของปอด เราได้มีระบบส่งต่อผู้ป่วยเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็ว เพื่อแนวทางการยุติวัณโรคในชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน เราจะเร่งเดินหน้าโครงการตรวจคัดกรองวัณโรคเชิงรุกต่อไปให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในดุสิตโมเดล ด้วยเป้าหมายในการยุติการระบาดของวัณโรคในประเทศไทยให้ได้เร็วที่สุด”

 

พญ.ณัฐินี อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานโรคติดต่อทางสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มีโครงการนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่เข้าค้นหาผู้ป่วยวัณโรคในพื้นที่เสี่ยง เช่น โรงงาน และชุมชนอยู่เป็นประจำ ซึ่งเมื่อตรวจพบผู้สงสัยว่าเป็นวัณโรค จะนัดมาตรวจเสมหะ  ซึ่งหากวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและแรงงานข้ามชาติ สามารถเข้าสู่ระบบและรับการรักษาฟรีได้เลย ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขทุกแห่ง โดยมีคลินิกแม่ข่ายวัณโรคอยู่ 19 แห่งในกทม.ซึ่งมีแพทย์และพยาบาลที่ได้รับการอบรมเพื่อรักษาวัณโรคโดยเฉพาะ ปัจจุบัน พบว่าระบบเอกซเรย์รุ่นใหม่มีขนาดเล็กลงมากและมีเทคโนโลยีล้ำสมัยมากขึ้น ช่วยให้ออกหน่วยตรวจในชุมชนได้แบบไม่ต้องใช้รถคันใหญ่ ๆ มีประโยชน์ในชุมชนแออัดที่รถใหญ่เข้ายาก ซึ่งหากเรานำเครื่องเอกซเรย์แบบพกพานี้มาใช้อย่างแพร่หลาย คาดว่าการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชนแออัดจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

 

นายแพทย์ธีรฉัฐ ไชยธวัชพงษ์ นายแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริการสาธารณสุข 3 บางซื่อ กล่าวถึงสถานการณ์วัณโรคในชุมชนเขตบางซื่อว่า “พื้นที่เขตบางซื่อมีผู้ป่วยวัณโรคราว 50 รายต่อปี และผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้สัมผัสใกล้ชิดและวัณโรคแฝง อีกราว 150 ราย ซึ่งตัวเลขมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆ ปี เพราะหลายพื้นที่ของเขตเป็นชุมชนแออัด โดยหัวใจสำคัญของการหาผู้ป่วยให้เจอ คือการลงพื้นที่ตรวจคัดกรองภายในชุมชน เพราะเราต้องเข้าใจว่าการเดินทางไปยังศูนย์ฯ หรือโรงพยาบาล มีค่าใช้จ่ายที่ประชาชนอาจไม่พร้อมแบกรับ ดังนั้นเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาให้ได้เยอะและเร็วที่สุด เราต้องร่วมกันออกตรวจเชิงรุก ซึ่งเป็นวิธีการยุติวัณโรคที่มีประสิทธิภาพสูงสุด”

 

มร.โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ฟูจิฟิล์ม ตระหนักถึงความเร่งด่วนในการยุติการแพร่ระบาดของวัณโรค และได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานสาธารณสุขต่าง ๆ ในประเทศไทยและในอีกหลายประเทศทั่วโลกเพื่อนำเสนอ FDR Xair System นวัตกรรมเครื่องเอกซเรย์แบบพกพาขนาดเล็กพร้อมระบบประมวลผล AI เพื่อใช้ในการตรวจคัดกรองวัณโรคได้อย่างสะดวก แม่นยำ รวดเร็ว โดยทีมแพทย์สามารถพกไปออกตรวจในชุมชนได้ ใช้เวลาตรวจรวดเร็วเพียง 1 นาที ทั้งยังมีความแม่นยำเหมือนกับเครื่องเอกซเรย์ตัวใหญ่ในโรงพยาบาล นอกจากเครื่องเอกซเรย์ทรงพลังแล้ว เรายังมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมดูแลช่วยเหลือด้านการใช้งานและติดตั้งอย่างต่อเนื่อง ภายใต้จุดมุ่งหมายใหม่ของฟูจิฟิล์มทั่วโลกในการ “แต่งแต้มรอยยิ้มให้โลกของเรา” เราจะยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาทางสังคมและสุขภาพ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้แก่ผู้คนทั่วโลก พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างรอยยิ้มให้แก่คนอีกมากมายผ่านนวัตกรรมอันล้ำสมัยของเรา”

 

“สิ่งที่อยากจะฝากไว้ส่งท้าย คือ การช่วยกันสร้างความตระหนักรู้เรื่องวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ สามารถรักษาได้ฟรีทุกสิทธิ์การรักษาโดยการรับประทานยาเฉลี่ยนาน 6 เดือน และจริงๆแล้วหากผู้ป่วยเริ่มรักษาจนพ้นระยะ 2 สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ระยะปลอดภัย ไม่เกิดการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติ และ อาการที่สงสัยวัณโรคและควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการเอกซเรย์ในทุกที่ ได้แก่ ไอเรื้อรังติดต่อกัน 2 สัปดาห์, น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีไข้ต่ำ ๆ ตอนกลางคืน โดยเฉพาะประชาชนที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยวัณโรคในช่วง 3 เดือนควรเข้ารับการตรวจเอกซเรย์ทุก 6 เดือนจนครบ 2 ปี การป้องกันวัณโรคที่ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงจะช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยเป็นวัณโรคได้มาก แม้ว่าวัณโรคจะยังไม่หายไปจากสังคมไทยในเร็ว ๆ นี้ แต่หากเราช่วยกันสร้างความเข้าใจ รู้เท่าทันวัณโรค เราจะใกล้เป้าหมายยุติวัณโรคได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน” นายแพทย์พิภู ถาวรชีวิน กล่าวทิ้งท้าย